เมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉลองครบรอบ 30 ปี ผู้บุกเบิกนวัตกรรมยานยนต์โลกใน Silicon Valley

บริษัท Mercedes-Benz Research & Development North America, Inc. (MBRDNA) เป็นศูนย์วิจัยและพัฒนาที่ดำเนินงานภายใต้ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ (Silicon Valley) ได้ฉลองครบรอบ 30 ปี แห่งความสำเร็จในด้านนวัตกรรมยานยนต์ระดับโลก โดยศูนย์ฯ แห่งนี้ได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ด้วยการบุกเบิกเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมหลากหลายด้าน อาทิ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ให้บริการระบบ Music Navigation รองรับการใช้งาน iPod อย่างเต็มรูปแบบ การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ระดับพรีเมียมจากเยอรมนีรายแรกที่นำระบบอินโฟเทนเมนต์ “CarPlay” ของ Apple เข้ามาใช้ในรถยนต์ และการเป็นผู้ผลิตรายแรกในสหรัฐฯ ที่เปิดตัวฟังก์ชัน Google “Send-to-Car” ในรถยนต์ รวมถึงครั้งล่าสุดกับการผสาน ChatGPT เข้ากับระบบ MBUX ในรถยนต์บางรุ่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษที่ผ่านมา MBRDNA มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ขับเคลื่อนวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่สร้างจุดเปลี่ยนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับโลกมาอย่างต่อเนื่อง

Ola Källenius ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี เปิดเผยว่า นวัตกรรม คือหัวใจสำคัญที่อยู่ในดีเอ็นเอของเรา ในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา MBRDNA มีบทบาทสำคัญในการผสานเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยที่สุดเข้ากับความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ความสำเร็จนี้จึงเกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นและพยายามของทีมงาน ทำให้เราพร้อมก้าวสู่ปี 2568 และปีต่อๆ ไป อย่างต่อเนื่อง โดยรถยนต์รุ่น CLA และ MB.OS ที่กำลังจะเปิดตัวในเร็วๆ นี้ คือข้อพิสูจน์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จของเรา

ศูนย์วิจัยและพัฒนา MBRDNA ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2537 ด้วยพันธกิจในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือกับสถาบันวิจัยต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมในพื้นที่ จากจุดเริ่มต้นที่มุ่งเน้นด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและไมโครอิเล็กทรอนิกส์ MBRDNA ได้ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม โดยผสานความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมจากเยอรมนีเข้ากับวัฒนธรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมอันล้ำสมัยในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ได้อย่างลงตัว

นอกจากนี้ MBRDNA ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเฉพาะในด้านการขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving), ประสบการณ์ AI, ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า (E-Drive) และการออกแบบภายนอกขั้นสูง โดยศูนย์วิจัยและพัฒนานี้ตั้งอยู่ใน 6 พื้นที่ยุทธศาสตร์ทั่วอเมริกาเหนือ ตั้งแต่เมืองแอนน์อาร์เบอร์ (Ann Arbor) และฟาร์มิงตันฮิลส์ (Farmington Hills) ในรัฐมิชิแกน ไปจนถึงเมืองซีแอตเทิล (Seattle) ในรัฐวอชิงตัน และอีกสามแห่งในแคลิฟอร์เนีย ได้แก่ เมืองซันนีเวล (Sunnyvale) ลองบีช (Long Beach) และคาร์ลสแบด (Carlsbad) โดยมีทีมงานกว่า 600 คนที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ในการสานต่อมรดกแห่งความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งการฉลองครบรอบ 30 ปีในครั้งนี้ ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ MBRDNA ในการสร้างสรรค์และออกแบบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นที่ต้องการมากที่สุดสำหรับลูกค้าในทวีปอเมริกาเหนือ

Markus Schäfer คณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ กรุ๊ป เอจี กล่าวว่า เครือข่ายวิจัยและพัฒนาระดับโลกของเรา มีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ อันเป็นที่ต้องการของผู้คนทั่วโลก โดยในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงสู่ระบบดิจิทัลและการใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรม ซึ่ง MBRDNA มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงระบบนิเวศอันล้ำสมัยในพื้นที่ซิลิคอนแวลลีย์ ทั้งจากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ สตาร์ทอัพ และมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก สิ่งเหล่านี้ช่วยผลักดันให้เราค้นหาแนวทางใหม่ ๆ ที่ AI จะสามารถช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การขับขี่อัตโนมัติ ไปจนถึงการปรับแต่งประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ขับขี่และผู้โดยสารในทุกมิติ

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา MBRDNA ได้สร้างสรรค์ผลงานด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมากมาย จนได้รับสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริการ่วม 100 รายการ ซึ่งรวมถึงสิทธิบัตรที่อยู่ในความครอบครองของ Daimler Trucks North America โดยหนึ่งในผลงานสำคัญคือการพัฒนาและรับรองระบบ Mercedes-Benz DRIVE PILOT ซึ่งเป็นระบบขับขี่อัตโนมัติแบบ SAE-Level 3   ระบบแรกของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลในสหรัฐอเมริกานอกจากนี้ MBRDNA ยังได้ยกระดับแนวคิดระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ด้วยหลักการออกแบบที่เน้นความเข้าใจและตอบสนองผู้ใช้งาน โดยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล เช่น ฟีเจอร์ "Zero-Layer" และ "Routines" ที่จะเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้งานและสามารถปรับการตั้งค่าความสะดวกสบายได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งระบบ MBUX Voice Assistant ยังได้รับการพัฒนาไปอีกขั้นด้วยการผสาน ChatGPT และ GPT-4o ซึ่งช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติและง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมมอบประสบการณ์การใช้งานที่ปรับแต่งได้เฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง โดยจะเริ่มตั้งแต่รถยนต์รุ่น CLA ที่จะเปิดตัวในปี 2568 นอกจากนี้ ระบบ MBUX Virtual Assistant จะรวมฟีเจอร์ Gemini on Google Cloud และข้อมูลจาก Google Places เพื่อช่วยยกระดับประสบการณ์การค้นหาสถานที่ด้วยการสนทนาให้ดียิ่งขึ้น


โดย นรินทร โชติภิรมย์กุล

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย รุกลักชัวรีรีเทลเต็มรูปแบบ พร้อมส่งรถใหม่กว่า 3 รุ่นใน Motor Show 2025

มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า

‘มิชลิน ประเทศไทย’ คว้ารางวัล Top Employer Award ประจำปี 2025

‘มิชลิน’ ผู้นำด้านการสัญจรอย่างยั่งยืนและผู้ผลิตชั้นนำระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ซึ่งขับเคลื่อนชีวิตที่ดี รับรางวัล ‘Top Employer Award 2025

เปิดตัว มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ไพร์ม (PRIME) ใหม่

บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ด้วยการเปิดตัว มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ไพร์ม

ซูซูกิ อัดโปร SUZUKI SWIFT YOU UP ผ่อนเริ่มต้นเดือนละ 4,999 บาท

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศ ไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย

“IMC สื่อสากล” เผยแนวคิด “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” เพื่อตอกย้ำ และต่อยอดความอลังการของงาน

ขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 42” เผยว่า แนวคิดของการจัดงานปีนี้ต้องการ