ดูภาพของผู้นำ Group of 7 หรือ G-7 ที่เยอรมนีแล้วก็เห็นว่าพยายามแสดงถึงความแน่นแฟ้นกลมเกลียวกันยิ่งนัก
แต่ลึกๆ แล้วคงจะมีความหวาดหวั่นเหมือนกันว่า ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซีย และสี จิ้นผิง ของจีน กำลังจับตามองเตรียมจะตอบโต้อย่างไร
เห็นผู้นำเยอรมนี, อังกฤษ, แคนาดา, ญี่ปุ่นและฝรั่งเศสที่กอดคอกันอย่างเริงร่าอยู่กลางรูปคงจะสัมผัสได้ถึงความพร้อมเพรียงที่จะประกาศจุดยืนสกัดกั้นรัสเซียอย่างเต็มที่
แต่พอประธานาธิบดีเซเลนสกีของยูเครนเรียกร้องให้ตะวันตกส่งความช่วยเหลือทุกอย่างมาอย่างรวดเร็วและร้อนแรง เพื่อเผด็จศึกให้เสร็จก่อนสิ้นปี
ก่อนที่ฤดูหนาวอันเหน็บหนาวจะมาเยือน
ก็คงพอจะประเมินได้ว่ายูเครนเริ่มจะหวั่นเกรงว่าจะไม่รอดหน้าหนาวนี้แน่ หากไม่สามารถ “ปิดเกม” กับรัสเซียได้ในเร็ววัน
คำแถลงของกลุ่ม G-7 ยืนยันว่าจะสนับสนุนยูเครนทุกๆ ด้านต่อไป “ไม่ว่าจะยาวนานเพียงใด” เป็นเพียงถ้อยคำที่ต้องรอการพิสูจน์
เพราะหากหน้าหนาวมาถึง รัฐบาลทางตะวันตกส่วนใหญ่จะรู้ซึ้งถึงความหนาวทางการเมืองในประเทศ เมื่อประชาชนจะเริ่มประท้วงเรื่องราคาพลังงานและอาหารการกินที่แพงขึ้น
หลายรัฐบาลอาจจะอยู่ไม่รอด เพราะเสียงต่อต้านของประชาชนด้วยซ้ำ
แต่แถลงการณ์ของ NATO ที่ผู้นำ 30 ประเทศประชุมกันที่สเปนก็จะสำทับว่าจะส่งความช่วยเหลือทางทหารให้กับยูเครนอย่างจริงจังและขึงขัง
อีกทั้งได้ประกาศให้ทหารนาโตกว่า 300,000 คน อยู่ในสถานะ “เตรียมพร้อมระดับสูง” เพื่อตั้งรับกับภัยคุกคามที่อาจจะเกิดจากการขยายวงของสงครามยูเครน
แต่ที่น่าสนใจอีกประเด็นหนึ่งคือ คำประกาศของ G-7 ที่จะตั้งกองทุนก้อนใหญ่เพื่อจะช่วยในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ประเทศต่างๆ
เป็นการแข่งขันอย่างเป็นทางการกับโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ของจีนโดยตรง
แถลงการณ์ของ G-7 มีการระบุถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกำหนดเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงพลังงานสะอาดของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
นักวิเคราะห์มองทันทีว่าหากเกิดขึ้นจริง ประเทศที่จะได้ประโยชน์ในเอเชียน่าจะเป็นอินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
เพราะทั้ง 3 ประเทศนี้อาจได้รับเงินทุนสนับสนุนก้อนใหม่เพื่อเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาด
ซึ่งตามคำแถลงนั้นความเคลื่อนไหวเช่นนี้จะเชื่อมโยงกับความร่วมมือด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระดับโลก
ผมเชื่อว่าทันใดนั้น ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็คงจะจับได้ว่านี่คือแผนของตะวันตกที่จะมาสกัด BRI ของจีน
จีนถามเสมอว่าทำไมไม่ “ร่วมมือ” และ “แข่งขัน” แทนการสร้าง “ความขัดแย้ง”
หมายถึง cooperation และ competition แทน conflict
นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่นดูจะมีความกระตือรือร้นเรื่องโครงการที่จะมายัน BRI ของจีนเป็นพิเศษ
เขาบอกว่า "การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพก็มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำให้เกิดอินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง"
โครงการใหม่ที่ว่านี้มีชื่อเป็นทางการว่า G-7 Partnership for Global Infrastructure and Investment (PGII) ซึ่งประเทศสมาชิก G-7 ตั้งเป้าที่จะระดมเงินรวม 6 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2027
โดยใช้การประชุมสุดยอด G-7 ครั้งนี้เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ
เป็นการต่อยอดจากข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ "Build Back Better World" ที่ตกลงกันไว้ในการประชุมสุดยอด G-7 เมื่อปีที่แล้วที่ Carbis Bay ประเทศอังกฤษ
โดยที่เห็นพ้องกันว่าแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ของประเทศสมาชิกจะถูกตีความว่าอยู่ภายใต้ร่มเงาควบคู่ไปกับความคิดริเริ่มใหม่นี้
นี่คือแผนของผู้นำตะวันตกที่ต้องการโยง PGII กับค่านิยมประชาธิปไตยของความโปร่งใส การรวมเป็นหนึ่งเดียว และความยั่งยืน
โดยเน้นว่ามีเป้าหมายที่จะระดมเงินทุนจำนวนมหาศาลจากกลุ่มประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก
แล้วมันต่างกับ BRI ของจีนอย่างไรหรือ?
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ พยายามอธิบายว่า
“สิ่งที่เราทำนั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะมันอยู่บนพื้นฐานค่านิยมที่เรามีร่วมกันของบรรดาผู้ที่เป็นตัวแทนของประเทศและองค์กรที่ยืนอยู่ข้างหลังผม”
โดยเน้นว่าเป็นการสร้างขึ้นโดยใช้แนวทางปฏิบัติที่ได้มาตรฐานระดับโลก ได้แก่ ความโปร่งใส ความร่วมมือ การคุ้มครองแรงงานและสิ่งแวดล้อม
เหมือนว่าไบเดนจะบอกว่าประเทศทั้งหลายควรจะมาร่วมมือกับตะวันตกมากกว่าจีน
ด้วยการยืนยันว่า "เรากำลังเสนอทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับประเทศต่างๆ และสำหรับผู้คนทั่วโลกในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่ช่วยยกระดับชีวิตของพวกเขา ชีวิตของพวกเขา ทุกชีวิตของเรา และมอบผลประโยชน์ที่แท้จริงให้กับทุกคนของเรา ไม่ใช่แค่กลุ่ม G-7 คนของเราทุกคน”
สำหรับประเทศไทยควรจะต้องจับตาว่าใครจะได้ประโยชน์จากแนวทางของสหรัฐฯ และตะวันตกครั้งนี้
ที่เห็นชัดเจนว่า G-7 กำลังร่วมมือกับอินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนามในการเป็นหุ้นส่วนที่จะจัดหาเงินทุนเพื่อช่วยในการลดคาร์บอนและมุ่งสู่แหล่งพลังงานที่สะอาดขึ้น
“ในความพยายามร่วมกับพันธมิตร G-7 เรากำลังดำเนินการเพื่อ JETP เพิ่มเติม [Just Energy Transition Partnerships] กับอินโดนีเซีย อินเดีย เซเนกัล และเวียดนาม” นายกรัฐมนตรี Olaf Scholz เป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งนี้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
JETP มีที่มาจากข้อตกลงครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว โดยแอฟริกาใต้ สหภาพยุโรป และสมาชิก G-7 ฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาในระหว่างการประชุมสภาพภูมิอากาศ COP26 ขององค์การสหประชาชาติ
มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนความพยายามในการขจัดคาร์บอนในแอฟริกาในระยะยาว โดยมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมและเท่าเทียม ซึ่งพัฒนาโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ
โดยมีคำมั่นว่าจะระดมเงิน 8.5 พันล้านดอลลาร์ในขั้นต้น ในระยะเวลา 3-5 ปี
ธนาคารโลกระบุว่า อินเดียอยู่ในอันดับที่ 3 และอินโดนีเซียเป็นอันดับที่ 7 ของโลก สำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยรวมตามประเทศ
แม้ว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหัวจะต่ำกว่าประเทศที่ร่ำรวยน้ำมันและประเทศอุตสาหกรรมมากก็ตาม
นายกฯ คิชิดะแจ้งว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ญี่ปุ่นจะตั้งเป้าที่จะบรรลุมูลค่ากว่า 65,000 ล้านดอลลาร์ ในการช่วยเหลือด้านโครงสร้างพื้นฐานและการระดมเงินทุนของภาคเอกชน
ผมเชื่อว่าคนไทยคงจะสนใจว่าแล้วจะสร้างอะไรบ้าง?
นายกฯ ญี่ปุ่นบอกว่า สำหรับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก "เราจะทำงานเกี่ยวกับทางรถไฟและสนามบินที่เอื้อต่อความเชื่อมโยงในภูมิภาค หรือการพัฒนาท่าเรือเพื่อความมั่นคงทางทะเล และการเสริมกำลังความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงความปลอดภัยทางไซเบอร์"
ย้อนกลับไปดูเอกสารของสหรัฐฯ ในเอกสารที่มีหัวข้อ "สร้างโลกที่ดีกว่า" เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ทำเนียบขาวอ้างถึง "ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 40 ล้านล้านดอลลาร์ ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งรุนแรงขึ้นจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19"
ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชียกล่าวในปี 2560 ว่าเอเชียกำลังพัฒนาจะต้องลงทุน 26 ล้านล้านดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2559 ถึง 2573 หรือ 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี เพื่อผลักดันให้มีการเติบโต ขจัดความยากจน และตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทั้งหมดนี้มีอะไรซ่อนอยู่ในข้อเสนออีกหลายเรื่อง สมควรที่รัฐบาลไทยจะต้องไปเจาะล้วงมารายงานให้คนไทยได้รับทราบ...และวางยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับบรรยากาศแห่งการแข่งขันของยักษ์ใหญ่ในเวทีระหว่างประเทศขณะนี้ด้วย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


