Happy (Dark) Thanksgiving!!!

เมื่อสัปดาห์ก่อนผมต้องเขียนเรื่องการปิดฉาก APEC 2022 เพราะถ้าไม่เขียนตอนนั้นมันจะไม่มีโอกาสเขียนอะไรเกี่ยวกับเอเปกอีกเลย จะเขียนได้อีกทีก็ต่อเมื่อไทยเราเป็นเจ้าภาพอีกรอบนึง ซึ่งป่านนั้นการสื่อสารจะเป็นเช่นไรเราก็ไม่รู้ ส่วนข้อเท็จจริงอีกข้อหนึ่งคือ คนทั่วไปจะสนใจเรื่องเอเปกต่อเมื่อประเทศตัวเองเป็นเจ้าภาพ ถ้าไม่ได้เป็นเจ้าภาพก็ถือว่าเป็นข่าวผ่านสายตาในหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้นครับ

ในสัปดาห์นี้เป็นกรณีเช่นเดียวกัน ถ้าผมไม่เขียนในวันนี้ก็ต้องรออีกปีนึงกว่าจะเขียนได้ เรื่องที่จะเขียนในวันนี้ไม่ได้เป็นเทศกาลหรืออะไรที่เกี่ยวกับประเทศไทยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมถือว่า หลักเกณฑ์หลักการของเทศกาลนี้สามารถนำมาใช้ทั่วไปก็ได้ เทศกาลที่ผมหมายถึงคือ Thanksgiving

สำหรับใครที่ติดตามคอลัมน์นี้มาโดยตลอด อาจจำกันได้ว่าก่อนที่ผมจะเว้นการเขียนในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา ผมก็จะเขียนเรื่องราวของเทศกาล Thanksgiving ทุกปี ผมพูดถึงเรื่องที่มาที่ไป ประวัติ และความสำคัญของเทศกาลนี้ต่อคนอเมริกัน วันนี้อาจจะแตะไปบ้าง แต่จะไม่เข้าไปลึกเหมือนคราวก่อนๆ

ตอนผมเด็กๆ โรงเรียนที่อเมริกาจะสอนพวกเราว่า Thanksgiving ริเริ่มจากการทานอาหารมื้อค่ำมื้อแรก ระหว่างผู้แสวงหาบุญ (Pilgrims) ที่อพยพมาจากทวีปยุโรป มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในทวีปอเมริกา กับกลุ่มท้องถิ่นที่อยู่ในอเมริกาอยู่แล้ว คือกลุ่ม Native Americans

เรื่องราวที่เขาสอนพวกผมเมื่อสมัยโน้นก็คงเป็นเรื่องราวเดียวกันกับที่สอนเด็กในสมัยนี้ คือบรรดา Pilgrims ได้ตั้งตัวที่ Plymouth Rock และได้พบเจอกับเผ่า Wampanoag ที่เป็นคนท้องถิ่นอยู่แล้ว จากแรกๆ ที่ทั้งสองฝ่ายคงทั้งระวังและระแวงกัน ในที่สุดทั้งสองฝ่าย ได้หันหน้าเข้าหากัน ได้เริ่มพูดคุยกัน และเป็นพันธมิตรกันมากขึ้น ในบทเรียนเขาจะให้ความสำคัญกับ Native American คนหนึ่งชื่อ Tisquantum หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Squanto

ผมจำได้ตอนเด็กๆ Squanto เหมือนเป็นฮีโร่ครับ เหมือนเป็นตัวละครสำคัญมากๆ ที่ทำให้สองฝ่ายเข้าใจกันซึ่งกันและกันมากขึ้น (เพราะ Squanto พูดภาษาอังกฤษได้) แล้วพอสองฝ่ายเริ่มเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน ถึงฉลองความสัมพันธ์ใหม่ด้วยการรับประทานอาหารมื้อค่ำที่ทั้งสองฝ่ายนำอาหารมาทานร่วมกัน ในขณะเดียวกันทั้งสองฝ่ายขอบพระคุณพระเจ้า (ที่ตัวเองนับถือ) เพื่อขอบคุณ ชีวิตที่เริ่มต้นใหม่พร้อมกับอาหารและพันธมิตรใหม่

ผมถึงชอบหลักเกณฑ์หลักการของ Thanksgiving เพราะเป็นเทศกาลที่ทำให้เราหันมาเห็นคุณค่ากับสิ่งที่เรามีอยู่ในชีวิต ให้เราขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือ เพื่อขอบคุณสิ่งที่ดีที่มีในชีวิตครับ อันนี้คือเรื่องราวของ Thanksgiving และเป็นประวัติที่ผมเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก แล้วคงเป็นเรื่องที่เด็กสมัยนี้ยังเรียนอยู่

แต่พอคนเรามีอายุมากขึ้น และยิ่งอยู่ในยุคที่ข้อมูลอยู่ปลายนิ้วของเรา หลายเรื่องที่เราเคยเชื่อในสมัยเด็กๆ นั้นไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด และไม่ได้ขาวสะอาดอย่างที่เราเชื่อ ผมบอกเลยว่าทุกเรื่องราวที่เราเคยเรียนรู้มา ไม่ว่าจะในไทยหรือที่ไหนในโลก เรื่องที่เราคิดว่า “จริง” ทุกเรื่อง มันไม่ใช่ “จริง” ทั้งหมดครับ

วันนี้เราเน้นที่เรื่อง Thanksgiving กัน

ก่อนกลุ่ม Pilgrims ชุดนี้จะมาถึง Plymouth Rock ทางเผ่า Wampanoag ได้ประสบปัญหาเรื่องการระบาดของเชื้อโรคชนิดหนึ่งที่ทำให้เผ่านี้ตายไปเกือบครึ่งหนึ่ง แล้วตอนที่ Pilgrims มาถึงทวีปอเมริกา เผ่า Wampanoag มีการระมัดระวังและระแวง Pilgrims อย่างมาก

ในเรื่องที่ผมเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กนั้น เหมือนว่า Pilgrims มาถึง Plymouth Rock และพอเวลาผ่านไปไม่นาน ทั้ง Pilgrims กับ Wampanoag รักกันและรับประทานอาหารมื้อค่ำกัน แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นครับ กว่าจะถึงจุดนั้นได้เวลาผ่านไปหลายเดือน เกือบปีนึงด้วยซ้ำ ฝ่าย Wampanoag คอยเฝ้าดูพฤติกรรมและการกระทำของกลุ่ม Pilgrims ชุดนี้อย่างใกล้ชิด ที่ผมเน้นคำว่า Pilgrims “ชุดนี้” เป็นเพราะกลุ่มอื่นๆ ที่มาจากทวีปยุโรปเช่นเดียวกัน หน้าตาคล้ายๆ Pilgrims “ชุดนี้” มาตรงนี้เหมือนกัน แต่เขาไม่ได้มาดีครับ เขามาปล้น และฆ่าพวก Wampanoag

ส่วน Squanto ตอนเด็กๆ เมื่อเขาสอนว่า Squanto พูดภาษาอังกฤษได้ พวกเราไม่เคยสงสัยหรือตั้งคำถามว่า “แล้ว Squanto เรียนภาษาอังกฤษจากที่ไหน?” ยิ่งถ้าเผื่อ Pilgrims “ชุดนี้” เป็นชุดแรกๆ (หรือเป็นชุดแรก) ที่อพยพมาอยู่ทวีปอเมริกา Squanto พูดภาษาอังกฤษได้อย่างไร?

คำตอบคือ Squanto เคยถูกรวบจากกลุ่ม Pilgrims ชุดก่อนๆ ที่ทั้งฆ่า ทั้งปล้น และทั้งรวบ Wampanoag มาเป็นทาส

เขาถึงพูดภาษาอังกฤษได้ครับ แล้วพอฟังความจริงที่ “จริงมากขึ้น” ภาพหวานแหวว ภาพอบอุ่นที่เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กนั้น ดู Dark มากกว่าเดิม ให้ความเป็นธรรมกลุ่ม Pilgrims “ชุดนี้” ว่าเขาอาจไม่ได้ก่อเหตุอะไร แต่พอรู้ว่าเผ่า Wampanoag ประสบกับอะไรและเจออะไรไปบ้าง ยิ่งพอรู้ว่า Squanto เคยต้องเป็นทาส และยิ่งพอรู้ว่ากลุ่ม Native Americans ถูกล้างเผ่าจากฝีมือคน “อเมริกัน” มันยิ่งเห็นได้ชัดว่า เรื่องราวทุกเรื่องในประวัติศาสตร์น่าจะเล่าความจริงไม่หมดครับ

ผมก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่ผมรู้อย่างเดียวว่า เรื่องราวทุกๆ เรื่องจะบิดเบือนและปิดบังตลอดไปไม่ได้ ผมขออภัยที่วันนี้อาจจบ Dark ไปนิดนึง ผมสารภาพว่าผมอยู่ในอารมณ์แบบนี้เพราะคืนก่อนผมนั่งดูสารคดี Jimmy Savile: A British Horror Story ทาง Netflix แล้วผมบอกเลยว่า เป็นเรื่องที่ Dark มากๆ ทั้ง Dark ทั้งและหดหู่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Sending a Message หรือ The Calm Before the Storm?

เมื่อสัปดาห์ก่อน ช่วงเวลาที่พวกเราสนุกและพักผ่อนกันเต็มที่ช่วงสงกรานต์นั้น มีเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่มันเกิดได้ทุกเมื่อ และในที่สุดก็เกิดขึ้นจริงๆ ครับ

หลานชายคุณปู่

สวัสดีปีใหม่ไทยครับ ช่วงเขียนคอลัมน์นี้ ผมยังอยู่ที่บ้านเฮา เจออากาศทั้งร้อนมากและร้อนธรรมดา เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมเขียนเรื่องการขับรถขึ้นมาบ้านเฮากับลูกสาว

หลานคุณปู่

คอลัมน์สัปดาห์นี้กับสัปดาห์หน้า น่าจะเป็นคอลัมน์เบาๆ ครับ ผมเชื่อว่าแฟนๆ ครึ่งหนึ่งน่าจะหนีร้อนในไทยไปสูดอากาศเย็น (กว่า) ที่อื่น ส่วนใครที่ไม่ไปไหน คงไม่อยากอ่านเรื่องหนักๆ

'แก๊ง'ล้มรัฐบาลได้ด้วยเหรอ? (ตอน 2)

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมเขียนเรื่องราวแก๊งที่ผมสัมผัสและรู้จักสมัยอยู่สหรัฐ สำหรับใครที่ชอบฟังเพลงแนว Gangster Rap ก็คงจะคุ้นเคยกับสิ่งที่ผมเขียนไป แต่สำหรับหลายท่านที่เติบโตคนละยุคคนละสมัยอาจไม่คุ้นเลย

'แก๊ง'ล้มรัฐบาลได้ด้วยเหรอ? (ตอน 1)

ผมมีความรู้สึกว่า ช่วงนี้มีข่าวประเภทแก๊งมีอิทธิพลในประเภทประเทศเอลซัลวาดอร์ โคลอมเบีย และเม็กซิโก มีผลต่อเสถียรภาพการเมืองระดับชาติประเทศเขา

To Shortchange กับ To Feel Shortchanged

จากการเรียกร้องของสาวๆ (สวยๆ) ไทยโพสต์ ผมขออนุญาตสวมหมวกฟุดฟิดฟอไฟวันหนึ่ง เพื่อพูดคุยและอธิบายสไตล์ของผม ถึงคำที่ปรากฏในช่วงต้นสัปดาห์จากนิตยสาร Time ครับ