สัมพันธ์จีน-ซาอุฯหน้าใหม่สู่โลกพหุภาคี

   

ในการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อ 7-9 ธันวาคม นอกจากยกระดับความสัมพันธ์ทวิภาคี ความสัมพันธ์กับกลุ่มความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (Cooperation Council for the Arab States of the Gulf: GCC) เกิดการประชุมสุดยอดจีน-อาหรับ (China-Arab States Summit) และการประชุมสุดยอด China-GCC Summit ยังตีความได้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายต้องการแนวทางโลกพหุภาคี

ประเด็นวิเคราะห์:

ประการแรก ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ไตร่ตรองอย่างดี

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชี้ว่า รัฐบาลซาอุฯ ไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้วว่าต้องการยกระดับความสัมพันธ์กับจีน เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุม (comprehensive strategic partnership) เป็นความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างจีนกับรัฐอาหรับทั้งปวง วางเป้าหมายกับบรรทัดฐานความสัมพันธ์ทุกด้านรวมทั้งประเด็นสำคัญๆ

มีข้อมูลว่าปัจจุบันน้ำมัน 50% ที่จีนนำเข้ามาจากภูมิภาคตะวันออกกลาง ซาอุฯ เป็นผู้ขายรายใหญ่สุด ซาอุฯ ได้จีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่แทนสหรัฐ เนื่องจากระยะหลังสหรัฐผลิตพลังงานฟอสซิสมากขึ้น เร่งส่งออกก๊าซธรรมชาติและคาดว่าอนาคตจะส่งเป็นผู้ส่งน้ำมันรายใหญ่ด้วย จีนผู้เป็นลูกค้ารายใหญ่จึงมีอิทธิพลต่อนโยบายกลุ่มประเทศอาหรับ โดยเฉพาะเรื่องน้ำมัน ไม่แปลกที่ทั้งคู่เอ่ยถึงตลาดน้ำมันที่มีเสถียรภาพ เป็นประโยชน์ทั้งผู้ซื้อผู้ขาย หวังให้ราคาอยู่ในระดับที่ทั้งคู่รับได้และไม่ขาดแคลน เรื่องนี้สัมพันธ์กับยุทธศาสตร์ควบคุมโลกด้วยน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ

ประการที่ 2 มุ่งสู่การพัฒนาและการค้า

ซาอุฯ มีเงินและต้องการพัฒนาตามวิสัยทัศน์ Saudi Vision 2030 ส่วนจีนมีเทคโนโลยี มีความตั้งใจอยากทำการค้าการลงทุนกับนานาชาติ ซาอุฯ กับจีนต่างสร้างโอกาสพัฒนาเศรษฐกิจสังคมเทคโนโลยีให้กับตัวเอง ความร่วมมือเช่นนี้เป็นบรรทัดฐานทั่วไปของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขย่อมสมควรและไม่ควรถูกใครกีดกัน

เป็นความชาญฉลาดของรัฐบาลซาอุฯ ที่เปิดรับการค้าการลงทุนจากทุกชาติ เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตน สัมพันธ์กับจีนที่ไม่คิดทำให้ซาอุฯ เป็นประชาธิปไตย ยอมรับการปกครองแบบซาอุฯ

ประการที่ 3 ก้าวสู่ยุคที่ไม่ง้ออเมริกา

ไม่กี่เดือนก่อนสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 กษัตริย์ซาอุฯ Abdul-Aziz bin Saud ได้พบกับประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี รูสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) สองฝ่ายตกลงกันว่าสหรัฐจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์น้ำมันซาอุฯ แลกกับการที่สหรัฐจะปกป้องราชวงศ์ซาอุฯ จากภัยคุกคามความมั่นคง

นับจากรัฐบาลสหรัฐกับพวกคว่ำบาตรไม่ซื้อพลังงานรัสเซีย ทำให้ราคาน้ำมันตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้นกะทันหัน รัฐบาลไบเดนพยายามเรียกร้องให้เพิ่มอุปทานน้ำมัน ซึ่งความจริงคือ “การเปลี่ยนผู้ซื้อผู้ขาย” จริงๆ แล้วพลังงานฟอสซิลไม่ขาดแคลน โลกมีน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินใช้อย่างเพียงพอ เป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานหลายสิบปี แต่ที่เกิดปัญหาในระยะนี้เพราะยุโรปต้องหันไปซื้อประเทศอื่นแทนรัสเซียกะทันหัน

ถ้าหากซาอุฯ กับพวกทำตามที่รัฐบาลไบเดนร้องขอและทำสำเร็จ ผลที่เกิดขึ้นคืออียูจะซื้อน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติจากกลุ่มโอเปกแทนรัสเซีย ส่วนรัสเซียต้องไปหาผู้ซื้อรายใหม่หรือลูกค้าเก่าแต่ซื้อมากกว่าเดิม

ภาพ: การประชุมร่วมระหว่างทีมจีนกับซาอุฯ
เครดิตภาพ: https://english.news.cn/20221209/730eb67115a6415ba9e57e3c91ed95bb/c.html

ความร่วมมือของ OPEC plus ในหลายเดือนที่ผ่านมาเป็นอีกหลักฐานว่าซาอุฯ ไม่อยู่ใต้การชี้นำของรัฐบาลสหรัฐ ดังที่ซาอุฯ กับจีนกล่าวถึงความสำคัญของเสถียรภาพตลาดน้ำมันโลก จีนสนับสนุนบทบาทซาอุฯ ผู้รักษาเสถียรภาพดังกล่าว พร้อมๆ กับที่จีนประกาศลงทุนภาคปิโตรเคมี พลังงานไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ในซาอุฯ รวมทั้งการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบซัพพลายเชน การใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ จีนไม่ใช่ประเทศผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่แต่กำลังเข้าไปมีส่วนร่วมกิจการด้านพลังงานของซาอุฯ โดยที่รัฐบาลซาอุฯ เปิดทางให้ ในอนาคตบรรษัทน้ำมันของชาติตะวันตกกับจีนต่างมีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมพลังงานซาอุฯ

อย่างไรก็ตาม การจัดระเบียบพลังงานโลกยังดำเนินต่อไป เป็นไปได้ว่าที่สุดแล้วโลกผลิตน้ำมันเท่าเดิม (อาจเพิ่มหรือลดเล็กน้อยตามจำนวนใช้จริง) แต่เปลี่ยนผู้ซื้อผู้ขายถาวร พวกที่เป็นฝ่ายสหรัฐจะซื้อน้ำมันจากผู้ขายที่เป็นฝ่ายสหรัฐ ส่วนผู้ซื้อน้ำมันรัสเซียจะเป็นพวกที่อยู่ตรงข้ามสหรัฐ การวิเคราะห์ด้วยฉากทัศน์นี้ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะโอเปกยังขายให้ทุกฝ่าย เพียงใช้โควตาใหม่ที่เน้นการแบ่งขั้วแบ่งฝ่าย เร็วเกินไปที่จะตอบว่าที่สุดแล้วจะเป็นอย่างไร คำถามคือบรรดานักการเมืองของกลุ่มอียูจะยินยอม “รับสภาพ” หรือไม่ ที่ต้องซื้อใช้พลังงานแพงกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ต้นเหตุวิกฤตเงินเฟ้อ สินค้าขึ้นราคา แพงทั้งแผ่นดิน ประชาชนทุกข์ยากและเป็นความทุกข์ที่รัฐบาลเป็นผู้ก่อ เป็นเรื่องที่น่าติดตาม

ประการที่ 4 จับมือจีนแต่ไม่ทิ้งสหรัฐ

เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน เยือนซาอุฯ นายอเดล อัล-จูเบียร์ (Adel al-Jubeir) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างซาอุฯ กับสหรัฐว่า “2 ประเทศเป็นพันธมิตรกับหุ้นส่วนมานาน 8 ทศวรรษแล้ว มีผลประโยชน์ร่วมกันมหาศาล และมีความท้าทายมากมายที่ต้องร่วมเผชิญ” ความจริงแล้วสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไบเดนกับซาอุฯ เข้มแข็งมาก (very solid) ไม่ได้ขัดแย้งรุนแรงเหมือนที่หลายคนพูด

จึงไม่น่าจะถูกต้องหากตีความว่าซาอุฯ ละทิ้งสหรัฐผู้เป็นพันธมิตรเก่าแก่ ความจริงแล้วสัมพันธ์ซาอุฯ-สหรัฐยังคงอยู่ เพียงแต่ซาอุฯ ขยับเข้ามาใกล้ชิดจีนด้วย พูดให้ชัดคือ ซาอุฯ ตั้งใจเป็นมหามิตรกับทั้ง 2 มหาอำนาจ สามารถใช้ไพ่มหาอำนาจต่อรองกับอีกฝ่ายซึ่งซาอุฯ มีอำนาจนี้สูงเพราะมีอิทธิพลไม่น้อยต่อตลาดน้ำมันโลก ซาอุฯ วางตัวในตำแหน่งที่น่าจะมีโอกาสดีกว่าเดิม แน่ล่ะจีนย่อมไม่ทิ้งโอกาสดีนี้ เหลือแต่ว่ารัฐบาลสหรัฐจะคิดอย่างไรต่างหาก

เป็นไปได้ว่ารัฐบาลสหรัฐได้แต่หวานอมขมกลืน ผลประโยชน์ยังต้องรักษา โดยเฉพาะเปโตรดอลลาร์ ในขณะที่รัฐบาลซาอุฯ ไม่อาจทำอะไรผลีผลาม ถ้าพูดเรื่องการป้องกันประเทศ ความมั่นคงทางทหารภูมิภาคสหรัฐยังยืนหนึ่งเรื่องนี้ แม้ซาอุฯ จะซื้อใช้อาวุธจีนมากขึ้นก็ตาม

ประการที่ 5 ซาอุฯ ที่ไม่ต้องการอยู่ขั้วใดขั้วหนึ่ง

รัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (IR) อธิบายว่า ณ ขณะนี้ระเบียบโลกกำลังเปลี่ยนแปลง มหาอำนาจกำลังจัดระเบียบโลก ผู้เชี่ยวชาญบางคนวิเคราะห์ว่าฝ่ายสหรัฐต้องการรักษาความเป็นเจ้า แท้ที่จริงแล้วรัฐบาลสหรัฐแทบทุกชุดจะกระชับอำนาจ กระชับความเป็นขั้วเดียวเป็นระยะ

เหตุวินาศกรรมก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 เป็นตัวอย่างที่ดี ประธานาธิบดีบุชประกาศว่าประเทศที่ให้แหล่งพักพิงมีความผิดเท่ากับผู้ก่อการร้าย สหรัฐจะถือว่าประเทศนั้นเป็นศัตรูหากไม่ร่วมมือต้านผู้ก่อการร้าย นี่คือการกระชับอำนาจโลกของอเมริกา ใครไม่สนับสนุนอเมริกาคืออยู่ฝ่ายตรงข้าม

Michel Chossudovsky ให้มุมมองที่น่าสนใจว่ารัฐบาลโอบามากับพันธมิตรใช้ประเด็นสงครามต่อต้านก่อการร้ายเป็นเครื่องมือขยายอำนาจ อเมริกากับพันธมิตรทำสงครามก่อการร้ายทั่วโลก ชูเหตุผลเพื่อสันติภาพ ความมั่นคงของประเทศ ภูมิภาคและของโลก ประเทศใดที่ต่อต้านเท่ากับอยู่ข้างฝ่ายอธรรม

ในยามนี้บางคนวิเคราะห์ว่าโลกกำลังเข้าสู่สงครามเย็นใหม่ (ระบบ 2 ขั้ว-ฝ่ายสหรัฐต้องการให้เป็นเช่นนั้น) โลกสองขั้วในอดีตหมายถึงการต่อสู้ช่วงชิงระหว่างฝ่ายสังคมนิยมกับฝ่ายเสรีประชาธิปไตย แต่ปัจจุบันไม่ใช่การต่อสู้เชิงอุดมการณ์เช่นนั้น เส้นแบ่งความเป็นประชาธิปไตยกับอำนาจนิยมนับวันจะไม่ชัดเจน

ปลายเดือนตุลาคมประธานาธิบดีปูตินกล่าวว่า มกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซัลมาน ยึดนโยบายสร้างสมดุลตลาดน้ำมัน รัสเซียกำลังเร่งสร้างมิตรภาพกับซาอุฯ เห็นด้วยหากซาอุฯ จะเข้าร่วมกลุ่ม BRICS บัดนี้การเยือนของประธานาธิบดีสีให้หลักฐานที่ชัดเจนอีกครั้งว่า รัฐบาลซาอุฯ ต้องการโลกพหุภาคีสอดคล้องกับนโยบายของจีน รัสเซีย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อดีตบิ๊กข่าวกรองเตือนสติ! อย่าหลับตาพูดลืมตาดูสถานการณ์โลกด้วย

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

อิสราเอลโจมตีกงสุลอิหร่านและการตอบโต้

ฮามาสทำศึกกับอิสราเอลได้ครึ่งปี เกิดสงครามตัวแทนระหว่างอิสราเอลกับกองกำลังที่อิหร่านสนับสนุน คราวนี้ถึงรอบอิหร่านปะทะกับอิสราเอลโดยตรงแล้ว

จำได้ไหม? 'จางเจ๋ออวี่' เด็กน้อยกตัญญูจาก Master Class สู่ศิลปินคุณภาพ

เด็กน้อยกตัญญู จางเจ๋ออวี่ (张泽禹) จากรายการ Master Class ที่วัย 10 ขวบในตอนนั้น จนถึงวันนี้เขาได้เติบโตเป็นศิลปินฝึกหัดที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ความสามารถล้นเหลือ และกำลังเดินทางตามความฝันของตัวเองอย่างแข็งขันเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

BRICSขยายตัวหมายถึงอะไรบ้าง

BRICS ที่ขยายตัว ชี้ว่ามีประเทศที่หันเข้าสู่ฝ่ายตรงข้ามสหรัฐมากขึ้น แต่ทั้งนี้บางประเทศเพียงอยากมีมิตรหลากหลาย ร่วมมือกับประเทศที่ไม่อยู่ขั้วสหรัฐ