จากใจ...หรือจากใคร

จดหมายพี่เปิดใจในวันที่น้องประกาศชัดว่าน้องขอออกไปจากพรรคของพี่ หากเราอ่านเผินๆ เราก็คงจะเห็นว่าข้อความในจดหมายนั้นดูเหมือนคนเป็นพี่จะเขียนจากใจในวันที่คนเป็นน้องต้องจากจรไปอยู่กับรวมไทยสร้างชาติ เหมือนจะแสดงความอาลัยและอวยชัยให้น้องไปดี สมหวังดังตั้งใจ แต่พออ่านอย่างเพ่งพิศพินิจดูดีๆ เราเริ่มไม่แน่ใจว่าคนเป็นพี่เขียนเอง เพราะที่ผ่านมาเวลาที่คนเป็นพี่ปรากฏตัวในสื่อเขาไม่เคยพูดอะไรยาวๆ เขาไม่ได้ใช้สำนวนโวหารที่งดงามเหมือนที่ปรากฏในจดหมาย ดังนั้นแทนที่เราจะมองว่าเป็นจดหมายจากใจ เราเกิดความคิดใหม่ว่า จดหมายนี้เป็นจดหมายจากใคร

ถ้าหากไม่ใช่คนเป็นพี่เขียนเอง มีใครที่พูดเก่ง เขียนเก่ง ที่ต้องการเอาใจคนเป็นพี่และเหยียบย่ำคนเป็นน้อง หรือเขียนโดยเหล่าบรรดาหลี่กงกงที่สอพลอ ต้องการเอาใจคนเป็นพี่ด้วยการด้อยค่าคนเป็นน้อง หรือว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การหาเสียงที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์เขียนขึ้น ถ้าเป็นอย่างหลังนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่พลาดแล้ว เพราะเนื้อหาของจดหมาย ไม่อาจทำลายคนที่เป็นน้องได้ แต่กลับทำให้คนที่เป็นพี่ดูไม่ค่อยดีเลยนะ

ข้อความตอนแรกที่บอกว่าบ้านเมืองมีปัญหา จึงเป็นเหตุทำให้คนที่เป็นน้องต้องออกมาทำรัฐประหาร ฟังดูดีนะ แต่น่าจะบอกสักนิดว่าคนที่เป็นน้อง “จำเป็น” ต้องทำรัฐประหารด้วยความจำเป็น เพราะรัฐบาลในตอนนั้นไม่มีความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศอีกต่อไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ บริหารประเทศอย่างไร้จริยธรรม ไม่ปฏิบัติตามหลักการของธรรมาภิบาล ประชาชนที่ออกมาชุมนุมขับไล่ถูกทำร้าย มีคนบาดเจ็บล้มตาย มีการโกงกินจากโครงการของรัฐ สร้างความเสียหายให้ประเทศหลายแสนล้าน และชาวนาเดือดร้อน นำข้าวมาจำนำแต่ไม่ได้เงิน จนฆ่าตัวตายไปก็หลายคน ดังนั้นในจดหมายคนเป็นพี่น่าจะพูดสักนิดว่าคนที่เป็นน้องไม่ได้ลุกขึ้นมาทำการรัฐประหารเพราะต้องการอำนาจ ไม่ใช่คนที่กระหายอำนาจและอยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่สถานการณ์มันบ่งชี้ว่าจำเป็นต้องทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน

ต่อมาเมื่อร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว ก็จัดให้มีการเลือกตั้ง เพื่อให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตย คนเป็นน้องเป็นคนที่พรรคเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรี คนเป็นพี่บอกว่าตั้งพรรคให้เพื่อตอบสนองคนเป็นน้องได้เป็นนายกรัฐมนตรี โดยบอกว่าคนเป็นน้อง “อ้าง” ว่าต้องการสานงานต่อ ทำไมจึงพูดว่า “อ้าง” ทำไมไม่พูดว่า “บอก” คำว่า “อ้าง” เราใช้ในเวลาที่เราไม่เชื่อ “เหตุผล” ของการทำอะไรบ้างอย่างไม่ใช่หรือ และที่บอกว่าคนเป็นพี่ตั้งพรรคนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะเท่าที่เราจำได้ คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีดำเนินการรณรงค์จนพรรคได้ ส.ส.จำนวนมากจนสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้น่าจะเป็นกลุ่มคนที่เราเรียกกันว่า “สี่กุมาร” ไม่ใช่หรือ อีกเรื่องหนึ่งที่เราอยากตั้งคำถาม ระหว่างคนที่เป็นน้องกับพรรคที่เสนอชื่อคนเป็นน้องเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ใครได้ประโยชน์ คนเป็นน้องได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะคะแนนนิยมของพรรค หรือคนที่ลงเลือกตั้งในนามของพรรคชนะการเลือกตั้งได้เพราะคะแนนนิยมของคนเป็นน้อง ดังนั้นการจะอ้างว่าคนเป็นน้องได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพราะพรรคก็คงจะไม่ใช่ เพราะคะแนนนิยมของคนเป็นน้องในปี 2562 นั้น ไม่ว่าจะได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคไหน พรรคนั้นก็คงได้ ส.ส.จำนวนมากจนสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้

คนเป็นพี่บอกว่าในตอนที่คนเป็นน้องได้เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2557 นั้น คนเป็นพี่เข้ามารับตำแหน่งเพื่อช่วยคนเป็นน้อง ต้องสร้างความมั่นคงให้กองทัพ แต่ในปี 2562 กองทัพก็มั่นคงแล้ว ทำไมคนเป็นพี่ยังรับตำแหน่งอีกล่ะ และคนเป็นพี่พูดว่าหลายๆ เรื่องที่คนเป็นน้องทำนั้นเขาไม่เห็นด้วย แต่ไม่พูดเพราะมารยาททางการเมือง จริงๆ แล้วคนที่ออกมาพูดว่าตนเองไม่เห็นด้วยกับมติของการทำงานเป็นหมู่คณะต่างหากที่ไม่มีมารยาท อะไรที่เป็นมติของที่ประชุม ไม่ควรจะมีใครคนใดคนหนึ่งออกมาพูดว่าตนเองไม่เห็นด้วยกับมติ แต่ควรร่วมมือกันทำงานให้สิ่งที่อยู่ในมติให้ประสบความสำเร็จ พูดแบบนี้เหมือนจะบอกว่าคนเป็นน้องเป็นคนขับรถ ส่วนเขานั้นแค่นั่งมา ถ้าหากคนขับรถขับไม่ดีทำไมไม่ขอลงล่ะ จริงๆ แล้วตอนนี้คนเป็นน้องเป็นคนขับรถนั้นประชาชนไม่อยากเห็นคนเป็นพี่นั่งในรถนะครับ มีเสียงเรียกร้องจากประชาชนบ่อยๆ ว่าอยากให้คนเป็นน้องเอาคนเป็นพี่ลงจากรถไป เพื่อภาพลักษณ์รัฐบาลของน้องจะได้ดีขึ้น จะได้ไม่มีตำบลกระสุนตกที่ทำให้รถมีรูกระสุนแบบนี้

บัดนี้คนเป็นน้องต้องจากไป คนเป็นพี่พูดเหมือนคนเป็นน้องทรยศหรือไม่มีความรับผิดชอบ ส่วนคนเป็นพี่บอกว่าจะมีความรับผิดชอบอยู่กับคนในพรรคต่อไป โดยพูดว่าเป็นการอยู่ฝ่ายประชาธิปไตย อ้าวพูดแบบนี้เป็นการพูดแบบมีนัยว่าพรรครวมไทยสร้างชาติไม่เป็นประชาธิปไตยหรือ และยังมองว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคสำรองที่ตั้งขึ้นเพื่อให้คนเป็นน้องได้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แบบนี้เป็นการปรามาสพรรครวมไทยสร้างชาตินะ มองเป็นพรรคสำรอง เป็นพรรคที่ไม่ใช่ฟากประชาธิปไตย เหมือนจะตอกย้ำว่าคนเป็นน้องเป็นเผด็จการตามวาทกรรมของฝ่ายตรงกันข้ามกับคนเป็นน้อง ทั้งๆ ที่คนเป็นน้องได้เป็นนายกรัฐมนตรีจากการเลือกของ ส.ส.ตามครรลองของประชาธิปไตยที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ

อุตส่าห์ตั้งใจจะอ่านให้จดหมายของคนเป็นพี่เป็นจดหมาย “จากใจ” ที่อาลัยคนเป็นน้องที่จากไป แต่พอเกิดความสงสัยว่าเป็นจดหมาย “จากใคร” ทำให้มองว่าจดหมายฉบับนี้ไม่ใช่ความ “อาลัย” แต่เป็นการ “ไล่ส่ง” มากกว่า และเวลานี้คนเป็นพี่ก็รับเอาคนที่เป็นศัตรูกับคนเป็นน้องเข้าพรรค แล้วคงจะให้ตำแหน่งสำคัญด้วย แล้วแบบนี้จะมาหาว่าคนเป็นน้องทรยศ ออกจากพรรคไปโดยไม่รับผิดชอบไม่ได้นะ เพราะมันชัดเจนว่าระหว่าง “น้อง” กับ “ลูกน้อง” นั้น คนเป็นพี่คงเข้าข้างลูกน้องมากกว่าน้อง ดังนั้นการที่คนเป็นน้องจากไปนั้นก็น่าจะเหมาะสมแล้ว และน่าจะเป็นการดีสำหรับคนเป็นน้องที่จะได้ไปอยู่กับพรรคที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน และต้องการพัฒนาประเทศ อยู่กับคนเก่ง คนดีที่มีคุณธรรมนำความรู้ น่าจะดีกว่าการอยู่กับคนเป็นพี่ที่มีหลี่กงกงคนสีเทาอยู่รอบกาย จะได้เดินสะดวกไม่มีกรวดในรองเท้า ขับรถไปโดยไม่ต้องมีคนที่ไม่พอใจนั่งอยู่ในรถให้ประชาชนมาเรียกร้องให้เอาคนในรถลง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กุมขมับแล้ว! 'ดร.เสรี' เชื่อแก๊งช่วย 'นช.ทักษิณ' จ่อเข้าคุกแทน

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า อุตส่าห์สร้างเรื่องราว สร้างวาทกรรมช่วยให้ไม่ต้องติดคุก

หวังแดงจะแทงส้ม คงไม่สมหวังนะสลิ่ม

ในคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นวันเลือกตั้งที่ผ่านมา สลิ่มและด้อมแดงมีอาการตกใจไปตามๆ กัน เพราะไม่คาดคิดว่าพรรคส้มจะชนะการเลือกตั้งได้ถล่มทลายขนาดนั้น

เมืองใดไร้ธรรมอำไพ...เมืองนั้นบรรลัยแน่นอน!!!

ถ้าว่ากันตาม กระแสโลก คงต้องยอมรับเอาจริงๆ อย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า...ระบอบการเมือง-การปกครองที่เรียกๆ กันว่า ประชาธิปไตย นั้น มันกำลังเสื่อม กำลังทรุดโทรม

ใบบัวปิดไม่มิด

เอาซิ! เมื่อเต่าไม่ยอมแพ้กระต่าย แม้จะเดินช้าแต่ก็เดินชัวร์ แล้วแบบนี้เส้นชัยจะไปไหนเสีย เลยได้เห็น รองเต่า-พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ในฐานะรองหัวหน้าทีมสืบสวนสอบสวนคดีเว็บพนันออนไลน์

'ดร.เสรี' แฉเศรษฐีการเมืองทุ่มเศษเงิน 250 ล้านซื้อวุฒิสภาได้เลย

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊ก ว่าวิธีเลือก สว. อันสลับซับซ้อนอย่างที่เห็น ถ้าดูดีๆ ถ้าใช้เงิน