สัญญาณเตือนภัยประเทศไทยมาจากสามเหลี่ยมทองคำล่าสุด...เมื่อสหประชาชาติแจ้งว่า การผลิตฝิ่นในเมียนมาเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในปีที่แล้ว
นั่นแปลว่าปัญหายาเสพติด, อาชญากรรมข้ามชาติ, การฟอกเงิน, เงินทุนสีเทา และกิจกรรมผิดกฎหมายใต้ดินทุกประเภทจะเฟื่องฟูขึ้นตามมาอย่างแน่นอน
ที่ว่าการผลิตฝิ่นทางเหนือของเมียนมาเพิ่มขึ้นนั้น มีเหตุผลมาจากการที่เกษตรกรในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำหันไปปลูกฝิ่นหลังการยึดอำนาจของกองทัพ
ที่วันนี้ครบ 2 ปีพอดี
การหลั่งไหลของฝิ่นซึ่งเป็นวัตถุดิบของเฮโรอีน ได้พลิกกลับแนวโน้มการเพาะปลูกที่เคยลดลงลงตามลำดับมานานหลายทศวรรษ
เจเรมี ดักลาส ผู้แทนสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UN Office for Drugs and Crime หรือ UNODC) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า แนวโน้มอันน่ากังวลในย่านสามเหลี่ยมทองคำนั้นเกิดจาก "การหยุดชะงักทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และธรรมาภิบาลซึ่งเกิดขึ้นหลังการยึดอำนาจของทหารในเดือนกุมภาพันธ์ 2564”
โดยให้เหตุผลเสริมว่าเกษตรกร "ไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากต้องย้ายกลับไปปลูกฝิ่น" เพื่อความอยู่รอดของตน เพราะไม่มีพืชชนิดใดจะสร้างรายได้เป็นเงินสดได้เร็วและมากเท่ากับฝิ่น
บริเวณที่ปลูกฝิ่นอย่างกว้างขวางอยู่ทางภาคเหนือของเมียนมา รวมถึงบางส่วนของลาวและไทย
พื้นที่สามเหลี่ยมทองคำเต็มไปด้วยป่าหนาทึบและภูเขา
ซึ่งเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางว่า เป็นแหล่งผลิตเฮโรอีนที่ใหญ่ที่สุดในโลกช่วงทศวรรษที่ 1990
สถานภาพนั้นเปลี่ยนไปเมื่อการปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้นในอัฟกานิสถาน หลังจากการรุกรานที่นำโดยสหรัฐฯ และกลุ่มอาชญากรในเอเชียเปลี่ยนมาผลิตเมทแอมเฟตามีนระดับอุตสาหกรรมในเมียนมา
แม้ภายหลังการผลิตฝิ่นจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เมทและยาสังเคราะห์อื่นๆ ยังคงเป็นรายได้หลักสำหรับกลุ่มยาเสพติดที่ดำเนินงานในเมียนมา
จากประมาณการของ UNODC การผลิตฝิ่นทั้งหมดเพิ่มขึ้น 88% เป็น 790 เมตริกตันในปี 2565
เพิ่มขึ้นอย่างมโหฬารจาก 420 ตันในปี 2564
และถือได้ว่าเป็นการปลูกที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2556 พื้นที่ปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้น 33% เป็น 40,100 เฮกตาร์ในปี 2565 และการเพาะปลูกผลผลิตเพิ่มขึ้น 41% ต่อเฮกตาร์สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (หนึ่งเฮกตาร์เท่ากับ 6.25 ไร่)
ในขณะเดียวกัน ราคาฝิ่นหน้าฟาร์มเพิ่มขึ้น 69% ในระหว่างปี ทำให้เกษตรกรมีรายได้มากถึง 350 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 11,550 ล้านบาท)
หรือมากกว่าสองเท่าของปีที่แล้ว
แนวโน้มที่ไปในทิศทางเดียวกันคือ เมื่อปลูกฝิ่นเพิ่ม ผู้ค้ายาเสพติดในประเทศก็เพิ่มกิจกรรมการผลิตเพิ่มเช่นกัน
UNODC ประเมินว่ามูลค่าของเศรษฐกิจฝิ่นโดยรวมในเมียนมา รวมถึงรายได้จากการส่งออกฝิ่นและการผลิตเฮโรอีน มีมูลค่าสูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 66,000 ล้านบาท) ในปี 2565
UNODC ระบุว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจหลังจากกองทัพขับไล่รัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อต้นปี 2564 มีส่วนสำคัญในการทำให้มีการขยายการปลูกฝิ่นทางเหนืออย่างปฏิเสธไม่ได้
เพราะชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเสื่อมทรุดลงหลังรัฐประหาร
การจ้างงานทรุดตัวลงเนื่องจากเศรษฐกิจหดตัวเกือบ 18% ในปี 2564 เมื่อประเทศถูกคว่ำบาตรและต่างประเทศถอนการลงทุนออกไป
เมียนมาภายใต้การปกครองของทหารมีการเติบโตของจีดีพีในระดับปานกลางเพียง 2% ในปี 2565 ตามประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
และคาดการณ์ว่าจะเติบโต 3.3% ในปี 2566
รายงานของ UNODC วิเคราะห์ว่า การชะลอตัวทั่วโลกที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 บวกกับราคาเชื้อเพลิงและปุ๋ยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ยิ่งทำให้เศรษฐกิจของเมียนมาต้องเผชิญกับปัญหาหนักหน่วงเพิ่มอีกหลายเท่าตัว
เมื่อปากท้องฝืดเคือง สิ่งเย้ายวนใจคือราคาฝิ่นดิบที่สูง ทำให้มี "แรงจูงใจอย่างมากสำหรับเกษตรกรที่จะรับหรือขยายการปลูกฝิ่น" รายงานของ UNODC ระบุ
หลังการยึดอำนาจโดยพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย เมียนมาต้องเผชิญวิกฤตด้านมนุษยธรรมและความมั่นคงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการต่อต้านด้วยอาวุธของผู้ประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตย
ซึ่งได้รับความเกื้อหนุนและช่วยเหลือจากกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์บางกลุ่มที่ควบคุมพื้นที่บางส่วนของเมียนมา
กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ รวมทั้งหลายกลุ่มในสามเหลี่ยมทองคำมีแนวโน้มสนับสนุนกองทัพก็มี
หรือไม่บางกลุ่มก็วางตัวเป็นกลาง
ดังนั้น ความต้องการอาวุธจากทุกฝ่ายในความขัดแย้งและเศรษฐกิจเชิงกฎหมาย ได้กลายเป็นแรงส่งอย่างมากในการทำให้เศรษฐกิจเถื่อนของเมียนมาขยายตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ข้อมูลของ UNODC ยังบ่งชี้ว่า การที่กองกำลังความมั่นคงของทหารทุ่มกำลังและทรัพยากรทั้งหมดหมกมุ่นอยู่กับการปราบปรามกลุ่มกบฏและไล่ล่าผู้เห็นต่าง ทำให้รัฐบาลไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การขัดขวางการค้ายาเสพติดที่ผิดกฎหมายเท่าที่ควร
แถมยังมีข้อสงสัยว่ากลุ่มผู้มีอำนาจทางทหารบางกลุ่มอาจมีส่วนพัวพันกับเรื่องยาเสพติดด้วยซ้ำไป
ในช่วง 10 เดือนจนถึงสิ้นเดือนตุลาคม 2565 การจับกุมฝิ่นโดยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายมียอดรวมเพียง 1 ตัน
ซึ่งน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของระดับในปี 2564
ทั้งๆ ที่การปลูกฝิ่นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
การยึดเฮโรอีนก็ลดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน จาก 2 ตันเป็น 1.2 ตันในช่วงเวลาเดียวกัน
UNODC แจ้งว่า การผลิตฝิ่นที่เพิ่มขึ้นครั้งล่าสุดในเมียนมาได้รับความช่วยเหลือจากวิชาการและเทคโนโยลี การทำไร่ที่ซับซ้อนมากขึ้นในพื้นที่ห่างไกลและยากจนทางตอนเหนือ
รวมถึงการใช้ระบบชลประทานและไร่ขนาดใหญ่ที่มีการจัดการอย่างดี
อีกทั้งยังมีกองทัพสหรัฐว้า ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมา ซึ่งถูกระบุโดยสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ว่าเป็นผู้ค้ายาเสพติด ได้ช่วยเหลือเกษตรกรด้วยการส่งมอบปุ๋ยและสร้างระบบชลประทานให้อีกด้วย
ความพยายามบังคับใช้กฎหมายก็หยุดชะงักเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน โครงการสำคัญของสหประชาชาติที่สนับสนุนเกษตรกรให้เปลี่ยนจากการปลูกฝิ่นเป็นพืชที่ถูกกฎหมาย เช่น กาแฟ ก็ได้รับผลกระทบจากความไม่มั่นคงในประเทศเช่นกัน
UNODC เรียกร้องให้มีการตอบสนองในระดับภูมิภาคต่อการฟื้นคืนชีพการปลูกฝิ่นในเมียนมา
“ผลกระทบต่อภูมิภาคนี้รุนแรงมาก และเพื่อนบ้านของประเทศจำเป็นต้องประเมินและจัดการกับสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา” รายงานเสนอ
และยืนยันว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอาจจะต้อง “พิจารณาตัวเลือกที่ยากบางอย่าง"
อันหมายถึง มาตรการที่อาจจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของรัฐบาลหรือบางหน่วยงานนัก
แต่ก็จำเป็นต้องทำ หากต้องการจะหยุดยั้งแนวโน้มการขยายตัวการปลูกฝิ่นอย่างจริงจัง
ประเทศไทยเราอยู่ในเส้นทางการผลิต, การค้า และการขนส่งยาเสพติดจากสามเหลี่ยมทองคำโดยตรง
จำเป็นจะต้องแสดงให้คนไทยและชาวโลกได้เห็นว่าเราจริงจังกับการปราบปรามยาเสพติด
พรรคการเมืองที่กำลังหาเสียงทั้งหลายควรจะต้องแสดงความเห็น และเสนอทางออกต่ออันตรายจากสามเหลี่ยมทองคำรอบใหม่นี้ให้ชัดเจนด้วย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


