เป็นอีกหนึ่งความเศร้าในแวดวง "สีกากี" กับการเสียชีวิตในชุดเครื่องแบบข้าราชการตำรวจของ พ.ต.อ.วัฒนกิจ เฉลาประโคน ผกก.สภ.ลาดยาว จว.นครสวรรค์ วัย 55 ปี ระหว่างนั่งรอเข้าชี้แจงคดีต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ฝ่ายสืบสวน ภายในสโมสรตำรวจ บางเขน
จู่ๆ ก็เกิดอาการวูบหมดสติ เพื่อนๆ พยายามทำซีพีอาร์แต่ไม่เป็นผล ก่อนนำตัวส่ง รพ.วิภาวดี เจ้าหน้าที่พยาบาลช่วยเหลือปั๊มหัวใจนานเกือบ 1 ชั่วโมง
และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
"ภรรยาของ พ.ต.อ.วัฒนกิจ" ให้สัมภาษณ์นักข่าวบอก สามีมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับความดันสูง ก่อนเกิดเหตุคาดพักผ่อนไม่เพียงพอกระทั่งหมดสติและเสียชีวิต
"พ.ต.อ.วัฒนกิจ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจอบรม เดินทางมาจากบ้านพักตำรวจ สภ.ลาดยาว จว.นครสวรรค์ เมื่อช่วงเช้ามืดวันเดียวกัน มีคนขับรถยนต์ให้เข้า กทม. โดย พ.ต.อ.วัฒนกิจ ถูก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกมาประชุมที่สโมสรตำรวจ พร้อม ผกก.สืบสวน จว.นครสวรรค์ เพื่อซักถามเกี่ยวกับคดีจับกุมต่างด้าว"
ก็ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว "เฉลาประโคน" อีกครั้ง
จากเหตุการณ์ครั้งนี้ มีสิ่งหนึ่งที่สงสัย มีสิ่งหนึ่งที่ข้องใจ ถึงแนวทางการปฏิบัติงานของผู้บังคับบัญชาตำรวจ ในโลกยุคไร้พรมแดน ยุคที่มีโซเชียลมีเดียมากมายหลากหลายช่องทาง
เหตุใดยังเรียก "ตำรวจ" นั่งรถมาเป็นร้อยๆ กิโล เพื่อมาชี้แจงคดีที่ส่วนกลางกันอีก
เข้าใจได้หากเป็นการประชุมนโยบายที่ต้องมีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนมาก มีผู้มอบนโยบายหลายคน การอยู่คนละทิศละทาง การสื่อสารผ่านโซเชียล อาจไม่สะดวก
แต่อย่างคดีจับกุมแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ มีตำรวจที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงเพียง 1-2 นาย ทำไมถึงต้องให้เดินทางมาไกลถึงส่วนกลาง มาไกลถึงกรุงเทพฯ บางครั้งบางรายมาถึง 10 โมงเช้า ได้ชี้แจง 4 ทุ่ม แทนที่จะซักถามกันผ่านระบบคอนเฟอเรนซ์ ซึ่งแต่ละโรงพักลงทุนเสียเงินทำห้อง ศปก. เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารกันอยู่แล้ว
จริงอยู่การเรียกมาซัก เรียกมาถามกันตัวๆ ก็เพื่อให้คดีรุดหน้า ให้คดีมีประสิทธิภาพ สามารถติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมได้
กระนั้นก็ต้องไม่ลืมว่าสายการบังคับบัญชาของตำรวจมีเป็นลำดับชั้น จากโรงพัก ก็มีกองบังคับการ จากกองบังคับการ ก็มีกองบัญชาการ จากกองบัญชาการ ถึงไปที่ระดับ ตร. หรือส่วนกลาง ถ้ายิงตรงจาก ผกก.โรงพัก มาส่วนกลาง มาระดับ ตร. แล้วจะมีผู้บังคับการ มีผูับัญชาการ ไว้หาพระแสงอันใด
ที่สำคัญการเรียก ผกก.เดินทางจากทั่วสารทิศ เพื่อมาชี้แจงคดีที่สโมสรตำรวจ บางเขน กรุงเทพฯ ก็ต้องเสียค่าน้ำมัน ค่าเดินทาง ค่ากิน ค่าอยู่ ซึ่งเงินทุกบาททุกสตางค์เป็นเงินภาษีประชาชน จะไม่สิ้นเปลืองเกินไปหรืออย่างไร
เพราะเมื่อจี้คดีเสร็จ ผกก.ก็ต้องขึ้นรถกลับไปโรงพัก ต้องเสียเวลาเดินทาง กว่าจะไปถึงก็ครึ่งค่อนวัน บางโรงพักอยู่ไกลก็เป็นวัน กว่าจะไปเรียกประชุมลูกน้อง วางแผนติดตามคดีอีกก็ยิ่งช้าไปใหญ่
ถ้าใช้เทคโนโลยี ใช้ระบบคอนเฟอเรนซ์ตามไล่บี้คดี พอสั่งเสร็จ ผกก.โรงพักก็เรียกลูกน้องมาวางแผนและออกปฏิบัติงานทันทีทันใด จะไม่ประหยัดกว่าหรือ
เอาเงินค่าน้ำมัน ที่ต้องเดินทางมาสโมสรตำรวจ ไปเติมให้รถสายตรวจ รถ 20 ที่มียอดน้ำมันแต่ละเดือนจำกัด เพื่อใช้วิ่งดูแลความสงบเรียบร้อย ดูแลความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินประชาชนในพื้นที่ จะไม่เกิดประโยชน์มากกว่าหรือ
อย่างไร ฝาก "ผบ.เด่น" ช่วยอธิบายให้ประชาชนเจ้าของเงินภาษีหายข้องใจ หายสงสัย หน่อยก็ดี.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เตะออกนอกหน่วย
จำได้ว่าช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เคยหยิบยกเนื้อหาที่ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้โพสต์เอาไว้ในเฟซบุ๊ก Aek Angsananont ตั้งแต่ตอนที่ได้รับเลือกแต่งตั้งเป็น ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิประเภท ก. หลังได้รับการเลือกตั้งจากตำรวจระดับ รอง ผกก.ขึ้นไปใหม่ๆ
ก้าวไกลคุมตำรวจ
เข้มข้นๆ แบบห้ามกะพริบตา การตั้ง "รัฐบาล" ของพรรคก้าวไกล ที่ตอนนี้เข้าเกียร์ 5 เดินหน้าเต็มพิกัด รวบรวม 8 พรรคการเมือง 313 เสียง จับมือ "ตั้งรัฐบาล" ภายใต้ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" หัวหน้าพรรคก้าวไกล
เลือก 'ประธาน ก.ตร.'
อย่าเพิ่งตกใจ อย่าเพิ่งมึนงง อย่าเพิ่งสับสนว่าตำแหน่ง "ประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ" หรือ "ประธาน ก.ตร." มีการเปลี่ยนแปลงจาก "โดยตำแหน่ง" มาเป็น "คัดเลือก"
กลัดกระดุมตำรวจ
ตั้งใจจะเขียนตั้งแต่สัปดาห์ สองสัปดาห์ก่อน ถึงเรื่องที่น่าสนใจ เรื่องที่น่าจะขยาย ให้ "ตำรวจ" ทั่วประเทศได้รับรู้ รับทราบ ถึงการทำหน้าที่ของ 3 ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิประเภท (ก.) ที่ได้รับการเลือกตั้งจากตำรวจระดับ รอง ผกก.ขึ้นไป เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ตร.ดีเด่นฉาวโฉ่!
ไม่เข็ด ไม่หลาบ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่เกรงกลัวการลงโทษทางวินัยจริงๆ "สีกากีนอกแถว" ทั้งๆ ที่ ผบ.เด่น-พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขู่เช้า ขู่เย็น จะฟัน "ตำรวจ" ทุกนายที่กระทำผิดกฎหมาย
ด่านสกัดเมาขับ
เข้าสู่ช่วงท้ายของเทศกาล "สงกรานต์" แม้ตัวเลขอุบัติเหตุทางถนนจะมีผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุสูงสุดมาจาก ขับรถเร็วเกินกำหนดและการเมาแล้วขับเช่นเคย