มีคำถามหลังจากถ้อยแถลงดุเดือดจากผู้นำจีนในช่วงการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติและสภาที่ปรึกษาประชาชนในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า
เกิด “สงครามเย็นรอบใหม่” ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แล้วใช่หรือไม่?
เพราะท่าทีของปักกิ่งในวันที่สี จิ้นผิง ได้รับไฟเขียวผ่านตลอดให้เป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งของจีนอีกหนึ่งสมัยนั้น มีความแข็งกร้าวและดุดันกว่าหลายปีที่ผ่านมา
สี จิ้นผิง ชี้นิ้วไปที่สหรัฐฯ ว่าเป็นแกนหลักที่ชักชวนประเทศตะวันตกที่มุ่งจะ “สกัดกั้น, ปิดล้อมและกดทับ” จีนทุกวิถีทาง
แต่จีนจะไม่มีวันยอมถอยให้กับวิธีการที่กดขี่ข่มเหงจีนเป็นอันขาด
พอรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ ฉิน กัง ขึ้นแถลงข่าวครั้งแรกยาวเกือบ 2 ชั่วโมง เขาก็ไม่ลังเลที่จะซัดสหรัฐฯ และโลกตะวันตกต่ออย่างร้อนแรง
ใช้คำว่า “มือที่สาม” ที่พยายามจะแทรกแซงกิจการภายในของจีน
ตอกย้ำถึงการที่สหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของจีนผ่านไต้หวัน
โต้วอชิงตันกลับกรณี “บอลลูนสอดแนม”
และกล่าวหาว่าสหรัฐฯ ส่งอาวุธเข้าไปในสมรภูมิยูเครน แต่กลับใส่ร้ายว่าจีนจะแอบส่งอาวุธให้รัสเซีย
และยังเรียกร้องให้ประเทศอาเซียนไม่ตกเป็นเหยื่อของการแข่งขันของมหาอำนาจในภูมิภาคนี้
ในการแถลงข่าวนอกรอบ "การประชุมสองสภา" ประจำปีของจีน คำถามที่ถูกยกให้กับฉิน กัง ดูเหมือนจะเป็นการส่งสัญญาณถึงท่าทีของความรู้สึกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน
คำถามเหมือนจะเป็นการบอกว่า ขณะที่เศรษฐกิจของจีนเผชิญกับแรงกดดันจากโควิดน้อยลง ประเทศในภูมิภาคต่างพบว่าเป็นการยากที่จะพึ่งพาสหรัฐฯ ในการรับประกันความมั่นคง
และอาจจะต้องพึ่งพาจีนในการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่า
ฉิน กัง สวมวิญญาณของนักการทูตปะฉะดะ
ด้วยการบอกว่าสมาชิกอาเซียนควรหลบหลีกการแข่งขันชิงอำนาจระหว่างประเทศใหญ่ๆ
โดยบอกว่าผู้นำของประเทศในภูมิภาคอาเซียนไม่ควรเป็นตัวแทนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
และยังเจาะตรงไปที่ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific) ของสหรัฐฯ ว่าเป็นความพยายามที่จะจัดตั้ง “กลุ่มผูกขาด” ที่ทำลายผลประโยชน์ของประเทศในภูมิภาค
และยังมุ่งจะตั้ง “กลุ่มนาโตในเอเชีย” เพื่อสกัดจีนอีกด้วย
แต่ฉิน กัง ยืนยันว่าจีนไม่กลัว และความพยายามใดๆ ที่จะปิดล้อมจีนจะต้องประสบกับความล้มเหลว
นักการทูตหลายสำนักเริ่มจะตั้งข้อสังเกตถึงความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตัน
บางคนมองว่านี่เป็นระยะเริ่มต้นของสงครามเย็นครั้งใหม่แล้ว
ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ จีนเติบใหญ่ในเวทีระหว่างประเทศอย่างชัดเจน และเพิ่มดีกรีของความกล้าแสดงออกมากขึ้น
อีกทั้งยังมีท่าทีที่ผ่อนปรนกับตะวันตกน้อยลง
ขณะเดียวกันฝ่ายบริหารของอเมริกาชุดต่อๆ มาไม่ว่าจะภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หรือโจ ไบเดน คนปัจจุบันก็แสดงท่าทีที่เผชิญหน้ากันมากขึ้น
ยิ่งจีนแสดงความมั่นใจในสถานภาพสากลของตัวเองมากขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งทำให้สหรัฐฯ ต้องหวาดหวั่นมากขึ้นเพียงนั้น
เพราะสัจธรรมแห่งประวัติศาสตร์โลกย้ำเสมอว่า
เบอร์หนึ่งจะต้องคอยสกัดไม่ให้เบอร์สองแซงหน้าเป็นอันขาด
วงจรแห่งความเป็นปฏิปักษ์ที่เลวร้ายระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง ก็หมุนวนลงต่ำเตี้ยลงไปเรื่อยๆ
วอชิงตันวางมาตรการคว่ำบาตรและกีดกันทางการค้าต่อปักกิ่งมากขึ้นตามลำดับ
โดยได้รับแรงกระตุ้นจากการสนับสนุนจากทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ในรัฐสภา
ไม่ว่าจะเป็นพรรคเดโมแครตหรือรีพับลิกันต่างก็มีจุดยืนหนุนไต้หวัน และระแวงหวั่นเกรงจีนแผ่นดินใหญ่คล้ายๆ กัน
กรณีล่าสุดเช่นประเด็นเรื่อง “บอลลูนสอดแนม” เหนือสหรัฐฯ นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สร้างความร้าวฉานไปได้หลายมิติ
ถึงขั้นที่รัฐมนตรีต่างประเทศจีนเตือนในการแถลงข่าววันนั้นว่า หากสหรัฐฯ ไม่เลิกดำเนินนโยบายเรื่องนี้ให้สมเหตุสมผลก็จะเกิด "หายนะตามมา"
จุดยืนของอาเซียนในภาวะของการแข่งขันระหว่างสองยักษ์ใหญ่ จึงเป็นเรื่องที่น่าเกาะติดเป็นอย่างยิ่ง
เพราะจะมีผลต่อประเทศไทยเราอย่างปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม
ในปี 2021 อาเซียนได้ออกเอกสาร “Outlook on the Indo-Pacific” ที่ตอกย้ำถึงมุมมองต่อความร่วมมือด้านความมั่นคงระดับภูมิภาค
จีนหวังจะให้อาเซียน “อ่านทะลุแผนร้าย” ของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคนี้
แต่จีนก็คงจะอึดอัดพอสมควรที่เนื้อหาของสมุดปกขาวอาเซียนเล่มนี้ไม่ได้ออกมาตอบโต้ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ อย่างที่ปักกิ่งอยากเห็น
และจีนก็คงจะเริ่มมองไปที่อาเซียนบางประเทศที่พยายามจะ “ถ่วงดุล” แห่งอำนาจของตนกับสหรัฐฯ
และบางประเทศก็ทำท่าจะเอื้อต่อความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะปักหมุดทางทหารในอาเซียนมากขึ้นกว่าเดิมอีก
ตัวอย่างเช่น ในช่วงเวลาเดียวกัน ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ “Bongbong” มาร์กอส จูเนียร์ของฟิลิปปินส์ เดินทางเยือนจีนและได้รับคำมั่นสัญญาการลงทุนมูลค่า 22,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่ผ่านมาไม่นานก็มีการประกาศว่าฟิลิปปินส์จะขยายการเข้าถึงฐานทัพของสหรัฐฯ สี่แห่ง
โดยสามแห่งหันหน้าไปทางเหนือสู่ไต้หวัน และหนึ่งแห่ง ใกล้กับหมู่เกาะสแปรตลีในทะเลจีนใต้
จีนมีสุภาษิตโบราณว่า “คนเราไม่ควรกัดมือที่ป้อนอาหารให้ตน”
ความหมายคือใครช่วยเราอย่างใดอย่างหนึ่งก็อย่าได้ไปทรยศเขาด้วยการไปทำให้สิ่งที่อาจจะทำให้ผู้ช่วยเหลือนั้นต้องรู้สึกระแวงสงสัย
และผลที่ตามมาก็คือความไม่ไว้วางใจในระดับที่เพิ่มขึ้นระหว่างปักกิ่งกับมะนิลา
เพราะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีรายงานการรุกล้ำระหว่างเรือจีนและเรือฟิลิปปินส์ในดินแดนพิพาททะเลจีนใต้บ่อยครั้งมากขึ้น
หรืออาจจะเป็นได้ได้ว่าจีนเกิดเห็นความจำเป็นที่ต้องเตือนเพื่อนบ้านในภูมิภาคไม่ให้เข้าข้างสหรัฐฯ ในการเผชิญหน้าที่รุนแรงขึ้นระหว่างสองมหาอำนาจ
คำถามใหญ่สำหรับเราก็คืออาเซียนกำลังจะถูกผลักดันให้เลือกข้างหรือไม่
จุดยืนทางการของอาเซียนคือจะพยายามรักษาดุลแห่งอำนาจระหว่างมหาอำนาจ และจะไม่โอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
แต่ในทางปฏิบัติไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะแม้ในบรรดาสมาชิกอาเซียนด้วยกันเองก็มีผลประโยชน์ที่ผูกโยงกับจีนและสหรัฐฯ ในระดับที่ต่างกันอย่างชัดเจน
อาเซียนบอกได้เพียงว่าจะพยายามรักษานโยบายไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดจนออกนอกหน้า
คือไม่แสดงตนว่าอยู่ฝ่ายไหน “ในเชิงรุก”
แต่ใน “เชิงตั้งรับ” แล้ว สมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศก็มีลีลาท่าทีของตนที่แตกต่างกันไป
อยู่ที่การชั่งตวงวัดผลประโยชน์ของตนในแต่ละภาคส่วนและแต่ละจังหวะ
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอาเซียนจะต้องเริ่มคิดอย่างจริงจังแล้วว่า “สงครามเย็น” ระหว่างสองยักษ์ใหญ่นี้กำลังแสดงตนขึ้นมาอย่างชัดเจน
อย่างน้อยก็ชัดกว่าทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาหลังปี 1991 อันเป็นปีที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย
ปีที่นักวิชาการตะวันตกบางคนประกาศว่าปีนั้นคือการ “สิ้นสุดของประวัติศาสตร์” (The end of history)
แต่เอาเข้าจริงๆ วันนี้ “ประวัติศาสตร์ไม่เคยสิ้นสุด”
และปีศาจแห่งความเลวร้ายของการเผชิญหน้าย่อมสามารถคืนชีพกลับมาหลอกหลอนมนุษยชาติได้อีกแน่นอน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


