
นีกอมโบเป็นเมืองที่อยู่ห่างจากกรุงโคลัมโบแค่ประมาณ 30 กิโลเมตร แต่ตั้งอยู่กันคนละเขต กรุงโคลัมโบอยู่เขตโคลัมโบ ส่วนนีกอมโบอยู่เขตกัมปาฮา ยังดีที่มีโอกาสได้อยู่ในจังหวัดเดียวกัน นั่นคือจังหวัดเวสเทิร์น โดยทั้งประเทศศรีลังกามีอยู่ด้วยกัน 9 จังหวัด
เช้าวันแรกของผมในเมืองนีกอมโบเริ่มต้นด้วยอาหารเช้าจากที่พักฝีมือของมาดามริตา ศรีภรรยาของมิสเตอร์มาร์คัส เจ้าของเกสต์เฮาส์ มาดามริตานำกาแฟมาให้ก่อนเป็นสิ่งแรก แต่ผมเก็บไว้ดื่มทีหลัง เป็นกาแฟในกาที่ดื่มได้มากกว่า 2 คน จากนั้นจึงเป็นอาหารเช้าแบบศรีลังกา
ชุดอาหารเช้าของมาดามริตามี “สตริงฮอปเปอร์” เหมือนกับปูตูมายัมของมาเลเซียและอินโดนีเซีย เป็นเส้นบะหมี่ทำจากแป้งข้าวเจ้าผสมน้ำกะทิ ลักษณะคล้ายขนมจีนแต่เส้นเล็กกว่า ม้วนเป็นขดก้อนกลมๆ หลายก้อน กินกับดาลซึ่งก็คือถั่วในซอสเครื่องเทศ และมะพร้าวคั่วคล้ายๆ ของปักษ์ใต้บ้านเรา แต่กลิ่นไม่หอมเท่าของเรา มาดามริตาบอกว่าคั่วกับน้ำมันมะพร้าวและหัวหอม แกยังทอดไข่ดาวในน้ำมันมะพร้าวมาให้ด้วยอีก 2 ฟอง และมะละกอปิดท้ายอีกหลายชิ้น ทั้งหมดนี้ราคาแค่ 4 เหรียญฯ คิดรวมในค่าห้องพัก ผมกินหมดแค่ไข่ดาวและมะละกอ อย่างอื่นเหลือเกินครึ่ง เพราะปริมาณที่เสิร์ฟมานั้นมากเหลือเกิน
ที่พักของผมอยู่ใกล้ชายหาดแค่ประมาณ 50 เมตร เดินไปดูเห็นหาดทรายสีน้ำตาล ถือว่าไม่ค่อยสวย บางช่วงเต็มไปด้วยผักบุ้งทะเล ริมหาดมีเศษซากของกิ่งไม้และขยะที่ทะเลซัดขึ้นมา ไม่มีใครมากวาดเก็บ ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินให้เห็นแม้แต่คนเดียว คนท้องถิ่นก็แทบไม่มี ผมกลับเข้าห้องพัก งีบต่อแล้วตื่นมาอาบน้ำ ขอเปลี่ยนห้องจากพัดลมเป็นห้องแอร์
ชายหาดสำหรับจอดเรือหาปลาในเมืองนีกอมโบ ด้านขวามือของภาพมีการตากปลาแห้งจำนวนมาก
เรื่องการจองที่พักในศรีลังกาหากไม่ใช่โรงแรมระดับ 4 และ 5 ดาว ต้องระวังให้ดี ถ้าไม่ดูให้ถ้วนถี่อาจจะถูกจัดห้องพัดลมไว้ให้ นักท่องเที่ยวจะรีบกดจองห้องที่ราคาถูกกว่าห้องอื่นๆ ในที่พักแห่งเดียวกัน ห้องราคาถูกนี้อาจซ่อนความหมายเอาไว้ นั่นคือ ไม่มีแอร์ หรือมีแอร์แต่ไม่มีรีโมตคอนโทรลสำหรับเปิด-ปิด อย่างห้องของผมเมื่อคืนมีทั้งแอร์และรีโมตคอลโทรล แต่รีโมตคอนโทรลไม่มีแบตเตอรี่ ผมโดนแบบนี้อีกครั้งในโคลัมโบ
ตอนบ่ายผมออกไปหน้าปากซอย มีร้านอาหารของเกสต์เฮาส์แห่งหนึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เข้าไปสั่งกาแฟ กินกับแพนเค้กกล้วยหอม ใช้เวลารอนานมาก แต่เป็นผลดีตามที่หวังไว้ นั่นคือได้เจอหนุ่มโย่งขับตุ๊กๆ เมื่อวานเขาเสนอแพ็กเกจทัวร์นีกอมโบ ผมมาคิดๆ ดู รู้สึกน่าสนใจอยู่เหมือนกัน
กาแฟเสิร์ฟก่อน เป็นกาแฟต้มกากเยอะ คล้ายๆ กาแฟตุรกี ดื่มได้แต่น้ำส่วนบนของถ้วย ไม่กล้าดื่มกากที่นอนก้น รสชาติกาแฟใช้ไม่ได้เลย และกาแฟศรีลังกาโดยรวมนั้นออกจืดๆ ไร้กลิ่น ไร้รส และไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่าว่ากาเฟอีนก็น้อย กาแฟที่อร่อยในศรีลังกาคือกาแฟที่นำเข้าจากต่างประเทศ เพราะศรีลังกาไม่มีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟ แต่พวกเขาจะกลัวอะไร เพราะชาชั้นยอดของพวกเขาชดเชยไว้ได้ทั้งหมดแล้ว
กว่าแพนเค้กจะมาเสิร์ฟ ผมก็กวักมือเรียกหนุ่มโย่งมาจากหน้าปากซอยที่พักของผมฝั่งตรงข้าม อาณาบริเวณที่เขายึดเป็นหัวหาดรัศมีทำการ คุยกันก็ได้ทราบว่าเขาเป็นชาวคริสต์ มีชื่อคริสเตียนว่า “มาร์ก แอนโทนี” ความจริงคงมาร์กเฉยๆ แล้วใส่แอนโทนีเข้าไปเอง ทัวร์นีกอมโบของเขาเสนอมาที่ราคา 20 เหรียญฯ แล้วลดลงมาเหลือ 15 เหรียญฯ ผมขอให้ไปส่งที่สถานีรถไฟก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ระยะทางแค่กิโลกว่าๆ แต่สามีของพระนางคลีโอพัตราคิดตั้ง 500 รูปี เทียบเป็นเงินไทยราวๆ 100 บาท ก่อนจะลดลงมาเหลือ 300 รูปี
รถไฟเข้ากรุงโคลัมโบมีวันละหลายเที่ยวและไม่จำเป็นต้องจอง ผมดูเที่ยวเวลาที่เหมาะสมสำหรับพรุ่งนี้แล้วเดินกลับไปหาพ่อมาร์ก แอนโทนี บอกเขาว่าถ้าจะไปทัวร์ด้วยกันขอจ่ายเป็นเงินรูปีเท่านั้น ถ้าไม่ลดลงมาจาก 15 เหรียญฯ ก็รับไป 3 พันรูปี ซึ่งมีค่าเท่ากัน เขาตกลง
นีกอมโบเป็นเมืองแห่งคริสต์ศาสนาในศรีลังกา มีผู้นับถืออยู่ถึงประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเมือง แต่มาร์ก แอนโทนี พาผมไปเริ่มต้นที่วัดพุทธ ชื่อวัด Angurakaramulla ไม่ทราบจะเรียกภาษาไทยว่าอย่างไร อายุประมาณ 300 ปี จอดรถหน้าวัดแล้วพ่อมาร์กก็เดินนำเข้าไป แล้วบอกว่าเขาจะกลับไปรอที่ตุ๊กๆ ให้ผมเดินชมได้ตามสบาย
วัดมีพื้นที่ไม่กว้างขวางเท่าไหร่ มีพระพุทธรูปองค์โตอยู่ด้านหน้าวิหาร ผมยังไม่ทันจะเดินเข้าไปในวิหารก็ถูกท่านไวยาวัจกร หรืออาจเป็นแค่คนคุมวัดกวักมือเร่งให้เข้าไปในห้องพิเศษด้านในของวิหาร ชายผู้นี้ขอให้ผมเขียนข้อมูลส่วนบุคคลลงในสมุดเล่มหนึ่ง คล้ายสมุดเยี่ยม ช่องสุดท้ายให้ใส่เงินที่จะบริจาค
ผมเห็นรายชื่อก่อนหน้าบริจาคกันขั้นต่ำคนละ 1 พันรูปี ที่ให้ 2 พันก็มี ตัวเลขแบบถ้วนๆ และล้วนเป็นชาวต่างชาติ อย่างนี้คือการบังคับบริจาคแน่นอน ผมมั่นใจ บอกเขาไปว่าผมให้ 100 รูปีเท่านั้น เขาท่าทางไม่ค่อยพอใจ บอกว่าบริจาคขั้นต่ำ 1 พันจะได้รับหนังสือพุทธประวัติเล่มเล็กๆ ผมส่ายหน้า ตอบว่าไม่ต้องการหนังสือและขอกลับออกไปจากวัด แต่จะให้เปล่าๆ 100 รูปี หมอนี่ก็รับไป แล้วชี้ให้เดินเข้าไปในวิหาร
ไหนๆ ก็มาแล้วจึงเดินเข้าไป มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ภาพเขียนพุทธประวัติ ผมรีบเดินวนรอบหนึ่งแล้วเดินออก หมอนี่ก็มาดักหน้า ขอให้ไปดูห้องนรกก่อน ชี้ไปด้านหลัง อยู่ข้างๆ ห้องน้ำ มีเณรน้อยสามสี่รูปนั่งเล่นกันอยู่ ที่ให้มาดูห้องนรกนี่คงอยากจะเตือนว่ามาแล้วไม่บริจาคตามเกณฑ์ ท่านจะต้องเจอกับอะไร
มีเจดีย์อยู่ติดกับวิหาร ต้องเดินขึ้นบันไดวนราวครึ่งหนึ่งของความสูงทั้งหมดจึงจะถึงรอบฐานเจดีย์ เห็นคนนำดอกไม้มาบูชากัน แต่ผมไม่ขอเสียเวลา คนคุมวัดก็ชี้ว่าขึ้นได้ แต่คงชี้ไปแบบเสียไม่ได้มากกว่า เดินออกมาเจอมาร์ก แอนโทนี รออยู่ เขาชี้ไปที่อาคารอีกหลัง คล้ายพิพิธภัณฑ์เก็บของโบราณ ผมบอกว่าไปที่อื่นกันดีกว่า เขาจอดที่หน้าวัดพุทธวัดถัดมา ผมแค่ถ่ายรูปจากนอกรั้วแล้วขอให้ออกรถ เดินทางต่อทันที
คลองดัตช์ เมืองนีกอมโบ ประเทศศรีลังกา
สถานที่ต่อมาคือ “คลองแฮมิลตัน” แต่มักถูกเรียกว่า “คลองดัตช์” หรือ Dutch Canal แรกเริ่มเดิมทีคลองนี้สร้างโดยศรีลังกาเองตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 ใช้ในการเดินทางและลำเลียงขนส่งพืชผลทางการเกษตร สามารถเชื่อมต่อหมู่บ้านต่างๆ กับลากูนนีกอมโบ แล้วจึงไปเชื่อมกับแม่น้ำเกลานีในโคลัมโบ เมื่อดัตช์เข้ามามีอิทธิพลในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก็สร้างคลองขึ้นด้วยเทคนิคชั้นสูงของพวกเขา โดยเฉพาะการระบายน้ำทะเลออกจากที่นาเพื่อการปลูกข้าว คลองนี้จึงได้ชื่อว่า “คลองดัตช์” เชื่อมโยงการขนส่งทางน้ำระหว่างท่าเรือนีกอมโบและพื้นที่ชั้นในที่เป็นเขตอิทธิพลของพวกเขา นอกจากข้าวแล้ว สิ่งที่ขนส่งออกสู่ท่าเรือเป็นหลักก็คือเครื่องเทศ
ถัดไปไม่ไกลคืออ่าวนีกอมโบ มีเรือประมงเข้ามาจอดเป็นจำนวนมาก ต่อเนื่องเข้ามาเป็นลากูนหรือบึงริมทะเลขนาดใหญ่ ไม่ห่างกันคือตลาดปลา ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่ว ตอนบ่าย-ใกล้เย็นปลาสดแทบไม่เหลือแล้ว ที่เห็นและที่มาของกลิ่นคือปลาทะเลตากแห้ง กินพื้นที่มหาศาลริมชายหาด ทรายปนกับปลาเหมือนทาเกลืออย่างไรอย่างนั้น ฝูงกาบินลงจิกกิน นกกระยางคอยดูท่าที หมาและแมวก็เดินวนเวียน เรียกได้ว่าทั้งภาพและกลิ่นไม่โสภาอย่างยิ่ง เห็นแล้วแทบไม่กล้ากินปลาตากแห้งอีกต่อไป
ทนดมทนดูอยู่นานเพราะมาร์ก แอนโทนี เจอเพื่อนที่เป็นเจ้าของเรือหาปลาและยืนคุยกันอยู่หลายนาที ผมทำท่าทางส่งสัญญาณว่าไปต่อกันได้แล้ว เขาจึงผละออกมา และพาไปที่ป้อมนีกอมโบ (Negombo Fort) เคยมีความสำคัญอันดับ 4 รองจากป้อมในโคลัมโบ จาฟฟ์นา และกอลล์
ป้อมแห่งนี้สร้างครั้งแรกโดยกองทัพโปรตุเกสในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถูกดัตช์บุกยึดใน ค.ศ.1640 ต่อมาโปรตุเกสยึดคืนได้ใน ค.ศ.1643 ก่อนจะถูกดัตช์ยึดถาวรใน ค.ศ.1644 แล้วดัตช์ก็สร้างขึ้นใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม เสร็จในปี ค.ศ.1672 แต่ผ่านไปร้อยกว่าปี คือใน ค.ศ.1796 อังกฤษก็เข้ายึดต่ออย่างง่ายดาย ก่อนจะทุบทิ้งและสร้างเรือนจำขึ้นแทนในไม่กี่ปีต่อมา โดยในการสร้างเรือนจำอังกฤษใช้หินจากป้อมปราการแห่งนี้นี่เอง ปัจจุบันเรือนจำยังเปิดดำเนินการ หอคอยส่วนหนึ่งที่หลงเหลือก็เป็นส่วนหนึ่งของสมบัติกรมราชทัณฑ์
โบสถ์เซนต์แมรีของนิกายโรมันคาทอลิก โบสถ์คริสต์ขนาดใหญ่ที่สุดในนีกอมโบ
จากนั้นมาร์ก แอนโทนี ขับพาไปยังโบสถ์เซนต์แมรี โบสถ์ขนาดใหญ่ที่สุดในนีกอมโบ สร้างในสไตล์นีโอคลาสสิก แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1924 มีป้ายห้ามถ่ายรูป แต่สารถีควบตำแหน่งไกด์ของผมยืนยันว่าถ่ายได้ ดูจากภายนอกให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ประมาณหนึ่ง พอเข้าไปด้านในยิ่งดูโอ่โถงอลังการ โดยเฉพาะภาพเขียนฝาผนัง ภาพเขียนเพดาน และรูปปั้นตามเสาแต่ละต้น ที่เสริมส่งให้โบสถ์ดูวิจิตรปนน่าเกรงขามขึ้นอีกมาก
ผมเต็มใจหยอดเงินลงกล่องบริจาคเองโดยไม่ต้องมีใครมายืนบังคับ เดินออกมาจากโบสถ์ มาร์ก แอนโทนี รออยู่และชี้ไปยังโรงเรียนที่ติดกับโบสถ์ซึ่งอยู่ในความดูแลของโบสถ์ เขาบอกว่าลูกของเขาเรียนที่นี่
เราเดินทางต่อไปที่โบสถ์เซนต์เซบาสเตียน ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบโกธิกรีไววัล สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.1946 โบสถ์นี้ห้ามถ่ายรูปและมีเจ้าหน้าที่ทหารยืนคุม หากจะเข้าไปต้องโดนตรวจกระเป๋าตั้งแต่ใกล้ๆ ประตูรั้ว ผมเลยไม่เข้าไป เดินกลับออกมาถามข้อสงสัยกับมาร์ก แอนโทนี ได้รับคำตอบว่าโบสถ์เซนต์แมรีถ่ายรูปได้ เพราะเป็นเหมือนสถานที่ท่องเที่ยว แต่โบสถ์เซนต์เซบาสเตียนเน้นปฏิบัติศาสนกิจ และเหตุวางระเบิดครั้งใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อนยังคงหลอกหลอนและไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งโบสถ์เซนต์เซบาสเตียนเป็น 1 ใน 3 ศาสนสถานชาวคริสต์ที่โดนถล่ม
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 21 เมษายน 2562 ตรงกับวันอีสเตอร์ ผู้ก่อการร้าย 9 คนลงมือจุดระเบิดฆ่าตัวตายในโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก 3 แห่ง โรงแรมหรู 4 แห่ง และชุมชนอีก 1 แห่ง เป้าหมายของการโจมตีคือคริสต์ศาสนิกชนและนักท่องเที่ยว มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 253 คน บาดเจ็บอีกราว 500 คน ก่อเหตุโดยองค์การเอกเทวนิยมแห่งชาติ และกลุ่มไอซิล คาดว่าเป็นการแก้แค้นกรณีเหตุกราดยิงมัสยิดในไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแแลนด์ หนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนหน้านั้น ทำให้ชาวมุสลิมเสียชีวิตครึ่งร้อย แต่นักวิเคราะห์บางคนบอกว่าไม่เกี่ยวกัน เชื่อว่าเหตุระเบิดในศรีลังกาวางแผนมาล่วงหน้านานแล้ว
หลังเหตุระเบิดดังกล่าวเจ้าหน้าที่จับกุมผู้ต้องสงสัยได้ 58 คน จนถึงเวลานี้นอกจากโบสถ์คริสต์แล้วยังมีทหารถือปืนอาก้าคุมเชิงตามสถานที่ล่อแหลมทั่วประเทศ
เพื่อให้ครบรสชาติศาสนา มาร์ก แอนโทนี พาไปต่อที่วัดฮินดูแห่งหนึ่ง แต่วันนี้วัดปิดประตูรั้ว ได้แต่ถ่ายรูปจากด้านนอก เขาหันมาถามผมว่าจะไปไหนอีก แสดงว่าหมดของจะโชว์แล้ว ผมเลยขอให้ไปที่บีชปาร์ก สวนสาธารณะเล็กๆ ริมชายหาดนีกอมโบทางทิศเหนือห่างจากที่พักของผมไป 1 กิโลกว่าๆ
วันนี้เป็นวันโปยา วันหยุดราชการของศรีลังกา ร้านรวงปิดเสียเป็นจำนวนมาก ส่วนผับบาร์ปิดหมด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ห้ามขาย วันโปยาคงมาจากคำว่า “วันบูชา” เป็นวันเพ็ญของแต่ละเดือน แต่บางเดือน เช่นเดือน 12 กำหนดให้เป็นวันขึ้น 14 ค่ำ ชาวพุทธไปวัด ชาวศาสนาอื่นก็ได้หยุดพักผ่อนหย่อนใจ อย่างในนีกอมโบผู้คนออกไปรวมตัวและหากิจกรรมบันเทิงสำหรับครอบครัวกันตามชายหาด โดยยังคงมาตรการสวมหน้ากากและรักษาระยะห่างในที่สาธารณะ
เข้าไปจอดรถ ยังไม่ทันจะได้เดินหรือมองสิ่งบันเทิงใจได้สักอย่างเดียว ชายคนหนึ่งเดินพุ่งเข้ามาหา ไม่สวมหน้ากากอีกต่างหาก ผมบอกไปว่ามากับคนนั้น พร้อมชี้ไปที่มาร์ก แอนโทนี หมอนี่บอกว่า “เพื่อนฉันเอง” แต่ดูเพื่อนก็แสดงอาการรังเกียจเพื่อนให้เห็นเล็กน้อย
มือของเขาถือถุงพลาสติกใบโต ในนั้นมีกำไลข้อมือ สร้อยคอ เปลือกหอย ช้างแกะสลักจากไม้ชิ้นเล็กๆ ผมบอกเพิ่งมาถึงขอเดินดูโน่นนี่ก่อน ยังไม่เห็นชายหาดเลย เขาว่าดูทะเลเสร็จแล้วดูของฝากจากเขาต่อนะ แต่เขาก็ยืนคุมเชิงอยู่ตรงนั้น ไม่เดินไปที่อื่น สาเหตุก็เพราะผมเป็นนักท่องเที่ยวเพียงคนเดียวที่นี่ เวลานี้
ผมรู้สึกหิวขึ้นมา อยากลองอาหารทะเลทอดกรอบที่ตั้งซุ้มขายอยู่ใกล้ๆ มีปลาทูเสียบไม้ กุ้งเสียบไม้ กุ้งทอดกรอบเคลือบเครื่องเทศ ปูตัวเล็กๆ ทอดกรอบ ผมบอกมาร์ก แอนโทนี ว่าอยากกินอะไรก็เลือกเอา ผมสั่งปลาทูทอดกรอบเสียบไม้กับคนขาย ปรากฏว่าชายถือถุงพลาสติกรีบเดินเข้าไปหยิบมายื่นให้ผมด้วยตัวเอง บอกราคา 100 รูปี ซึ่งคงไม่ใช่ราคานี้ น่าจะอยู่ที่ 50 รูปีมากกว่า ผมยื่นแบงก์ 500 ให้มาร์ก แอนโทนี เขาสั่งกุ้งทอดกรอบ ได้มาเต็มถุงกระดาษเล็กๆ พ่อค้าทอนเงินมา 350 รูปี ผมสั่งกุ้งทอดกรอบด้วย คราวนี้ไม่ถามราคา แต่ยื่นแบงก์ 50 ให้ไปเลย ชายถือถุงพลาสติกก็เสนอหน้า ใช้มือเปล่าหยิบกุ้งใส่ถุงกระดาษสองสามตัว จนพ่อมาร์กของผมต้องบอกว่าหยิบมาอีก ผมรับมาแล้วยัดใส่เป้
ไว้หาจังหวะทิ้งลงถังขยะทีหลัง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความจริงเทียมทำร้ายสังคม
การสื่อสารของสื่อสารมวลชนที่ทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าประตูข่าว เลือกข่าวที่จะนำเสนอ และปิดข่าวที่ไม่ต้องการเสนอ ทำให้สังคมรับรู้ความจริงเทียม (Pseudo-reality)
น้ำท่วม!!!...กับ'พรหมวิหาร4'
ออกจะหนักหนา-สาหัสมิใช่น้อย...สำหรับ น้ำท่วมปักษ์ใต้ คราวนี้!!! ไม่ใช่แต่เฉพาะ หาดใหญ่-สงขลา ที่แม้แต่ผู้เป็นห่วง เป็นใย ออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ยังอดร้องห่ม ร้องไห้
เมื่อ 'ศูนย์ฯ' กลายเป็น 'ศูนย์'
ฟังเหตุผล ผบ.ต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ แม่ทัพใหญ่สีกากี ถึงเรื่องที่ พล.ต.ต.ธีรศักดิ์ ไชยโยธา ผู้การสงขลา มีคำสั่งเด้ง ผู้กำกับหาดใหญ่-พ.ต.อ.ธรรมรัตน์ เพชรหนองชุม
ดวงชะตาเมืองรัตนโกสินทร์ปี 2569 (ตอนที่2) เหตุสำคัญที่มีเกณฑ์เกิดในเมืองปี 2569
ตลอดปีเสียอะไรไปสู้ได้กลับมา-ภายใน 21 เมษายน เมืองยังมีโอกาสเสียคนหรือของรัก-ฟาดเคราะห์ให้เมืองด้วยการร่ว
เมื่อผู้ใหญ่จัญไรอัปรีย์...จะมีอะไรดีให้ลูกหลาน
ลองวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองของไทยเราขณะนี้ เราก็จะเห็นว่าประเทศไทยเรากำลังตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ เพราะมีผู้ใหญ่เห็นแก่ตัว ทำตัวชั่วช้าสามานย์
แด่..อาจารย์'สุธี ประศาสน์เศรษฐ'
หลังออกจากห้อง ไอซียู เมื่อเกือบ 2-3 ปีที่แล้ว...หนึ่งในผู้ที่โทรศัพท์ไปให้กำลังใจ ไปเชียร์ให้สู้ๆ เข้าไว้ ก็คือ ดร.สุธี ประศาสน์เศรษฐ ผู้ที่แนะนำตัวเองด้วยสำเนียงติดตลกมาทางโทรศัพท์


