การทูตจีนหลังจากสี จิ้นผิงรับตำแหน่งเบอร์หนึ่งของจีนอีก 5 ปี (เป็นอย่างน้อย) จะมีความแข็งกร้าวขึ้นเพียงใดย่อมอยู่ทีการตอบสนองจากฝ่ายสหรัฐฯ
แต่วอชิงตันก็ดูเหมือนจะยิ่งมีทีท่าที่ดุดันเพิ่มขึ้นอีก
จึงไม่ต้องแปลกใจหากสถานการณ์โลกที่กำลังย่ำแย่เพราะสงครามยูเครนและความขัดแย้งที่เกาหลีเหนือ, ตะวันออกกลาง, ทะเลจีนใต้และจุดร้อนอื่น ๆ จะเสื่อมทรุดลงไปอีกระดับหนึ่งในเร็ว ๆ นี้
เพราะยักษ์ใหญ่คำรามใส่กันหนักขึ้น
ในการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในฐานะรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ฉิน กังตอบคำถามหลายประเด็นที่โยงกับความขัดแย้งระหว่างสองประเทศ
เช่นประเด็น “บอลลูนสอดแนม”
เขาชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมโดยแท้ ซึ่งเขาย้ำว่าเป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดเจนมาก
ฉิน กังบอกว่าแม้แต่ฝ่ายสหรัฐฯเองก็ยอมรับว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้ก่อให้เกิดภัยคุกคามใดๆ
“แต่สหรัฐฯ กลับละเมิดเจตนารมณ์ของกฎหมายระหว่างประเทศและแนวปฏิบัติระหว่างประเทศ โดยมีการโยนความผิดให้คนอื่นและตอบสนองเกินกว่าเหตุ มีการใช้กำลังในทางที่ผิดและถือโอกาสสร้างสถานการณ์ ซึ่งเป็นการสร้างวิกฤตทางการทูตทั้งที่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
ในฐานะที่เคยเป็นเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯก่อนจะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ เขาย้ำว่าสหรัฐฯมีการรับรู้และเข้าใจสถานภาพของประเทศจีนคลาดเคลื่อนไปมาก
“เพราะสหรัฐฯมองจีนเป็นคู่ต่อสู้หลักและเป็นความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุด”
ฉิน กังบอกว่าอย่างนี้ถือว่าวอชิงตัน “ติดกระดุมเม็ดแรกผิด”
มีผลทำให้นโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีนออกห่างจากแนวทางของเหตุผลและความเหมาะสมโดยสิ้นเชิง
เขาย้อนความว่าสหรัฐฯเคยอ้างเสมอว่าจะ “เอาชนะจีนด้วยการแข่งขัน” ไม่แสวงหาความขัดแย้ง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว “การแข่งขัน” ของสหรัฐฯในที่นี้ คือการสกัดและปราบปรามจีนอย่างรอบด้าน
ซึ่งเป็นเกมรวม Zero-sum Game หรือ “เกมที่มีผลลัพธ์สุดท้ายเป็นศูนย์”
แปลว่าฝ่ายชนะต้องกินรวบ ฝ่ายแพ้เสียหายหมด
เป็นการสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย
“ฝ่ายสหรัฐอเมริกาอ้างเสมอว่าต้องปฏิบัติตามกฎ แต่ในทางปฏิบัติ กลับทำเหมือนนักกีฬาที่วิ่งอยู่ในลู่ แทนที่จะตั้งใจวิ่งเพื่อสถิติที่ดีที่สุดของตนเอง แต่กลับคิดทำให้อีกฝ่ายสะดุดล้มตลอดเวลา หรือแม้กระทั่งคิดให้อีกฝั่งไปแข่งในพาราลิมปิกเกมส์ได้ซ้ำไป...”
จีนถือว่าวิธีเช่นนี้ไม่ใช่การแข่งขันที่เป็นธรรม แต่เป็นการเผชิญหน้าที่มุ่งร้ายต่อกัน ถือว่าผิดกติกา
สิ่งที่สหรัฐฯอ้างว่าเป็น “การสร้างราวกั้น” (guardrails) และ “ไม่เผชิญหน้า” นั้น แท้จริงแล้วหมายความว่าจีนจะไม่ตอบโต้เมื่อถูกกระทำ
ซึ่งฉิน กังบอกว่า “เป็นไปไม่ได้”
โดยย้ำว่าหากสหรัฐฯ ไม่เหยียบเบรกและยังคงพุ่งไปผิดทางเช่นนี้ ไม่ว่าราวกั้นจำนวนเท่าใดก็ไม่สามารถหยุดรถคันนี้ไม่ให้หลุดถนนและพลิกคว่ำได้
และย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและการเผชิญหน้า
แล้วใครหละจะแบกรับผลร้ายที่ตามมา?
ปักกิ่งมองว่าการแข่งขันแบบนี้เป็นการแข่งขันที่ใช้ผลประโยชน์ขั้นพื้นฐานของประชาชนของทั้งสองประเทศและแม้กระทั่งอนาคตของมนุษยชาติเป็นเดิมพัน
ซึ่งจีนย่อมต้องคัดค้านอย่างเต็มที่
ฉิน กังบอกว่าสหรัฐอเมริกามีความภาคภูมิใจที่ตนเองจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง
“แต่สหรัฐฯก็ต้องใจกว้างพอที่จะยอมรับการพัฒนาขึ้นของประเทศอื่นๆ ด้วย”
นั่นย่อมหมายรวมถึงจีนที่ถือว่าตนก็มีสิทธิ์ที่จะเติบโตในเส้นทางของตนเช่นกัน
เขาบอกว่าการสกัดและการปราบปรามจะไม่ทำให้สหรัฐฯ ยิ่งใหญ่ขึ้น และยิ่งไม่อาจขัดขวางการฟื้นฟูความรุ่งเรืองของจีนได้
วาทะของฉิน กังมีการใช้คำเปรียบเปรยและสุภาษิตจีนเข้ามาผสมผสานอย่างต่อเนื่อง
เขาบอกว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้ชี้ให้เห็นว่า การจัดการความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯอย่างเหมาะสมนั้นมีผลอย่างมากต่ออนาคตและชะตากรรมของโลก
“ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ไม่ใช่คำถามแบบปรนัยว่าจะทำได้ดีหรือไม่ แต่เป็นคำถามอัตนัยที่ต้องตอบว่าให้ได้ว่าจะทำอย่างไรดี”
ฉิน กังย้ำว่าจีนจะปฏิบัติตามข้อเสนอของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงว่าด้วยหลักการของการเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ร่วมกัน (win-win)
เพื่อส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯที่ดีและมั่นคง เรายังหวังว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะรับฟังเสียงของประชาชนทั้งสองประเทศอย่างตั้งใจ
และพยายามขจัดความกังวลทางยุทธศาสตร์ด้าน “ภัยคุกคามที่มากเกินไป”
อีกทั้งต้องละทิ้งแนวคิดสงครามเย็นแบบเกมผลรวมเป็นศูนย์
และต้องปฏิเสธการทำร้ายอย่างไร้เหตุผลต่อ “การเมืองที่ถูกต้อง”
จีนต้องการเห็นสหรัฐฯรักษาคำมั่นสัญญา หันหน้าเข้าหาประเทศจีน
และร่วมกันแสวงหาเส้นทางที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศและนำความสุขมาสูงโลกใบนี้
แต่ในเมื่อคำว่า “ชนะ” และ “แพ้” ถูกกำหนดโดยคนละขั้ว คำว่า “win-win” ก็ย่อมมีความหมายที่แตกต่างกันไปหากมองจากปักกิ่งและวอชิงตัน
ฝ่ายหนึ่งเห็นเป็น win-win
อีกฝ่ายหนึ่งอาจจะมองเป็น lose-lose ก็ได้
ดังนั้นเราจึงกำลังเข้าสู่ภาวะที่น่ากังวลสำหรับเสถียรภาพของโลกเพราะยักษ์ใหญ่กำลังจะแย่งกันเป็นผู้เขียนกฎกติการะหว่างประเทศ
ในเมื่อมหาอำนาจหนึ่งพยายามจะเบียดอีกมหาอำนาจหนึ่งให้ตกขอบไป ความตึงเครียดก็ย่อมจะเกิดขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้
และเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งยืนยันต่อต้านการที่จะถูก “ปิดล้อม, สกัดกั้นและกดทับ” นั่นก็ย่อมหมายถึงการมีแรงต้านกลับมาอย่างดุเดือด
โลกจึงกำลังตกอยู่ในภาวะของความสั่นสะเทือนที่มีดีกรีของความรุนแรงหนักหน่วงเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’
ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!
มีแม้วไม่มีเรา! วัดใจจุดยืน 'พรรคส้ม' หลังทักษิณขีดเส้นแบ่งข้างทุกเวทีแล้ว
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า "พรรคส้มกล้าไหม? มีแม้วไม่มีเรา!
ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน
‘หยุ่น’ ฟันเปรี้ยงรอดยาก! ชั้น 14 ดิ้นอย่างไรก็ไม่หลุด
นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรื่องชั้น 14 จะดิ้นอย่างไรก็หลุดยาก จึงเห็นการเฉไฉ, ตีหน้าตาย
บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'
เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม
ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน
นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ


