
วันที่ 1 พ.ค.ของทุกปีถือได้ว่าเป็นวันแรงงานแห่งชาติ ที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบดีว่ามีไว้เพื่ออะไร นอกจากได้รับผลดีเนื่องจากเป็นวันหยุด แต่วันแรงงานแห่งชาตินั้นมีผลมาจากการเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงาน เพื่อเฉลิมฉลองผลงานทางเศรษฐกิจและสังคมของผู้ใช้แรงงาน ทำให้เห็นว่าแรงงานนั้นมีความสำคัญในด้านอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่เฉลิมฉลองแค่เพียงประเทศไทยเท่านั้น ต่างประเทศยังยึดถือวันที่ 1 พ.ค.นั้นว่าเป็นวันแรงงานเช่นเดียวกัน
โดยในประเทศไทยนั้นก็ได้มีกฎหมายไว้รองรับในกรณีนายจ้างไม่อาจหยุดงานได้ ให้นายจ้างตกลงกับลูกจ้างว่าจะให้หยุดชดเชยวันอื่นแทนหรือจะจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้กับลูกจ้าง แต่หากนายจ้างไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย
จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งด้วยวันนี้เอง หลายหน่วยงานจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญของลูกจ้างหรือแรงงานของตัวเองให้มากขึ้น
โดย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เองก็ได้เห็นว่าแรงงานถือเป็นส่วนที่มีความสำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาคการผลิตของไทย ส.อ.ท.จึงได้มีการสำรวจความเห็น FTI Poll ครั้งที่ 28 ในเดือน เม.ย.2566 ภายใต้หัวข้อ “มุมมองของภาคอุตสาหกรรมต่อการจ้างงานและการปรับตัวของแรงงานในอนาคต” โดยผลสำรวจพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่มองว่า อัตราการจ้างงานในปัจจุบันได้กลับเข้าสู่ภาวะปกติก่อนโควิด-19 แล้ว และคาดว่าในปีนี้การจ้างงานจะยังมีแนวโน้มคงที่ต่อไป
โดยผู้บริหาร ส.อ.ท.ได้เสนอให้ภาครัฐเร่งสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพแรงงาน โดยเฉพาะการสนับสนุนระบบการจ่ายค่าจ้างแรงงานตามทักษะฝีมือ และการยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานให้ได้มาตรฐานสากล รวมทั้งการขยายสิทธิประโยชน์การลดหย่อนภาษีค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมแรงงานเพื่อ Upskill/Reskill เป็นลดหย่อนภาษีได้ 250% เท่ากับการอบรมทักษะขั้นสูงที่ได้รับการรับรองจาก สอวช. เพื่อจูงใจภาคเอกชนให้ส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมให้มากขึ้นเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานในทุกด้าน
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากทักษะที่เป็นที่ต้องการของภาคอุตสาหกรรม 3 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 เป็นทักษะทางวิศวกรรม อันดับ 2 เป็นทักษะทางดิจิทัล และอันดับ 3 เป็นทักษะทางการวิเคราะห์ข้อมูล จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. ได้มีผลสรุปการสำรวจดังนี้ 1.ภาคอุตสาหกรรมมีอัตราการจ้างงานในปัจจุบันเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 อยู่ในระดับใด อันดับที่ 1 เท่าเดิม 48.6%, อันดับที่ 2 เพิ่มขึ้น 10-20% เป็น 24.8% และอันดับที่ 3 ลดลง 10-20% เป็น 19.3%
2.ปัจจัยใดส่งผลกระทบต่อการจ้างงานของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต อันดับที่ 1 ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและชะลอตัว 59.6%, อันดับที่ 2 ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการผลิต เช่น ระบบ Automation 48.2% การใช้ Robotics และ AI และอันดับที่ 3 การเกิด Digital Disruption ที่มีผลกระทบต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจ 45.4% 3.ภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวในเรื่องการจ้างแรงงานในปัจจุบันอย่างไร อันดับที่ 1 ให้ความสำคัญกับการ Upskill/Reskill และสร้าง New Skill 67.0% เพื่อพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานรองรับธุรกิจใหม่, อันดับที่ 2 เริ่มมีการใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีมาช่วยในกระบวนการผลิตทดแทน 65.6% การใช้แรงงาน และอันดับที่ 3 รูปแบบการจ้างงานและการบริหารจัดการแรงงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น 55.5% เช่น การใช้ Outsource เป็นต้น
4.ภาครัฐควรสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพแรงงานในเรื่องใด อันดับที่ 1 สนับสนุนระบบการจ่ายค่าจ้างแรงงานตามทักษะฝีมือ (Pay by Skill) 69.3% และการยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานให้ได้มาตรฐานสากล, อันดับที่ 2 ขยายสิทธิประโยชน์การลดหย่อนภาษีค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมแรงงาน 65.6% เพื่อ Upskill/Reskill เป็นลดหย่อนภาษีได้ 250% และอันดับที่ 3 พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน 60.1% และแก้ไขปัญหา Skill Mismatch
เชื่อว่าภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนและชะลอตัว ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการจ้างงานของภาคอุตสาหกรรมในอนาคต ซึ่งการที่ออกมาสำรวจข้อเรียกร้องครั้งนี้ก็จะสามารถเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงให้กับแรงงานได้ โดยเฉพาะด้านการบริหารจัดการแรงงานและการจ้างงาน เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานและปัญหาประสิทธิภาพแรงงาน.
ณัฐวัฒน์ หาญกล้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เสริมสร้างธรรมาภิบาลองค์กร
ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย
ค้าปลีก-ร้านอาหารยังเติบโตในปี69?
เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2568 กันแล้ว แน่นอนว่าธุรกิจในปีหน้ายังคงมีโจทย์ท้าทายอีกหลายอย่างกำลังรออยู่ และตลอดปี 2568 นี้เอง ภาคธุรกิจต่างๆ ก็ไม่ง่าย! เพราะต้องเผชิญกับปัจจัยที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นตลอด
เจาะลึกเทรนด์อีคอมเมิร์ซไทย
ปัจจุบันตลาดอีคอมเมิร์ซไทยถูกขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันของ 3 แพลตฟอร์มหลัก คือ Shopee 89%, TikTok Shop 71% และ Lazada 66% โดย 87% ของผู้บริโภคชาวไทยซื้อสินค้าออนไลน์เป็นประจำทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน
เสริมความมั่นคงสุขภาพไทย
อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่จังหวะใหม่ที่น่าสนใจ และสำคัญต่อความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อความต้องการเครื่องช่วยหายใจชนิด CPAP/BiPAP
อัปเกรดมาตรฐานความปลอดภัย
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับมือหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และพันธมิตรด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เปิดตัวความพร้อมโครงการ “Trusted Thailand” อย่างเป็นทางการ
ดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มโอกาสธุรกิจไทย
ในโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างมั่นคงจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า


