เมื่อ ‘เจ้าพ่อ AI’ ออกมาเตือน ว่ามันจะฉลาดล้ำหน้ามนุษย์

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่พยายามทำความเข้าใจกับ AI เพราะในระยะหลัง “ปัญญาประดิษฐ์” กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่จะมา “ป่วน” วิถีชีวิตของคนทั้งโลก

เพราะ Open AI ที่มาในรูปของ ChatGPT สามารถทำอะไรต่อมิอะไรในการตอบคำถามและหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว

คล่องแคล่วจนน่ากลัว...เพราะมันก็ “มั่ว” ได้หน้าตาเฉยเหมือนกัน

ดังนั้นเมื่อ “เจ้าพ่อแห่ง AI” ของอเมริกาออกมาเตือนว่า “ระวัง วันหนึ่งข้างหน้า AI จะฉลาดกว่ามนุษย์” ผมจึงต้องลุกขึ้นตั้งหลักฟังให้ถ้วนถี่

เพราะ AI กลายเป็นเรื่องที่เราไม่สนใจไม่ได้อีกต่อไป

เพราะมันมีคุณอนันต์ แต่ก็มีโทษมหันต์

คนที่ออกมาเตือนนั้นคือ Geoffrey Hinton ที่ได้ชื่อว่าเป็น Godfather of A.I.

อยู่ดีๆ แกก็ลาออกจาก Google ที่เคยเป็นป้อมปราการแห่งการสร้างสรรค์ AI

ที่ออกมานั้น แกบอกว่ามีเหตุผลสำคัญคือเพื่อเตือนสังคมเกี่ยวกับภัยคุกคามของ AI

เจฟฟรีย์ ฮินตัน เป็นรุ่นเก๋าของวงการนี้

แกได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขา AI เมื่อ 45 ปีที่แล้ว และทุกวันนี้ก็ยังคงเป็น “เสียงที่น่าเชื่อถือ” ของวงการนี้

ฮินตันบอก The New York Times ว่าแกต้องการจะเตือนโลกเกี่ยวกับ “ภัยคุกคาม” ที่อาจเกิดขึ้นจาก AI 

ซึ่งจะมาเร็วกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้

“ผมเคยประเมินว่า AI อาจจะฉลาดเกินคนในอีก 30 ถึง 50 ปี หรือนานกว่านั้น”

แต่วันนี้แกยอมรับว่าได้เปลี่ยนความคิดนั้นแล้ว

ฮินตันเคยได้รับการเสนอชื่อให้เป็นเจ้าของรางวัลทัวริงอวอร์ดปี 2018 เพราะได้แสดงฝีไม้ลายมือด้านคอมพิวเตอร์ที่โยงกับ AI

วันนี้แกสารภาพว่ารู้สึกเสียใจกับงานที่ทำมาทั้งชีวิต

เพราะอะไรหรือ?

“ตอนนี้ผมคิดว่าความฉลาดทางดิจิทัลที่เรากำลังพัฒนาขึ้นมานั้นแตกต่างจากความฉลาดทางชีววิทยาอย่างมาก”

แล้วแกก็ยกตัวอย่างที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นอยู่

นั่นคือ GPT-4  ซึ่งเป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ หรือ LLM ที่ล้ำหน้าที่สุดจาก OpenAI สตาร์ทอัปซึ่งกำลังได้รับการกล่าวขวัญอย่างกว้างขวาง

ฮินตันบอกว่า “ถ้าผมมีตัวแทนดิจิทัล 1,000 คนที่เป็นโคลนนิงที่มีน้ำหนักเท่ากัน เมื่อไรก็ตามที่ตัวแทนคนใดคนหนึ่งเรียนรู้วิธีการทำบางอย่าง พวกเขาทั้งหมดจะรู้ได้ทันที เพราะพวกเขามีน้ำหนักเท่ากัน”

แต่มนุษย์ที่เป็นวิวัฒนาการแบบชีวภาพธรรมดาทำอย่างนั้นไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ตัวแทนดิจิทัลที่รวมตัวกันในจำนวนมากไร้ข้อจำกัด จึงสามารถได้รับความรู้อย่างมหาศาลมากกว่าตัวแทนทางชีวภาพใดๆ

“นั่นคือเหตุผลที่ GPT-4 รู้มากเกินกว่ามนุษย์คนใดคนหนึ่งอย่างเหลือเชื่อ”

สัญญาณน่ากังวลนี้ได้รับทราบกันก่อนหน้านี้จากผู้บริหารในวงการนี้หลายคน

Sundar Pichai ซีอีโอของ Google เพิ่งออกมาเตือนถึงความเสี่ยงของ AI

โดยบอกว่า “สังคมไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะมาถึง”

นั่นแปลว่า เราไม่รู้ว่าหากมีการพัฒนาเจ้า AI ที่ฉลาดมากขึ้นทุกทีไปเรื่อยๆ มันจะหลุดออกจากการควบคุมของมนุษย์หรือไม่

แต่ Google ก็ยังไม่หยุดการพัฒนาด้านนี้ เพิ่งเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของตนที่ใช้ AI อย่างเต็มที่

เช่น หุ่นยนต์เรียนรู้ด้วยตนเอง และ Bard ซึ่งเป็นคู่แข่งของ ChatGPT

แกถูกถามเหมือนกันว่าการพัฒนา AI จะล้ำหน้าความสามารถของการปรับตัวของมนุษย์หรือไม่

Sundar Pichai “ผมเชื่อว่ามนุษย์เป็นสายพันธุ์ที่ปรับตัวได้ไม่มีที่สิ้นสุด”

ฮินตันบอกว่าแกลาออกจาก Google เพื่อจะได้มีอิสระในการพูดถึงความเสี่ยงของ AI 

“ผมเคยปลอบใจตัวเองด้วยข้อแก้แบบเดิมๆ ว่า ถ้าผมไม่ทำ คนอื่นก็คงทำ”

แต่แล้วแกก็ตัดสินใจว่าถ้าเห็นภัยแล้วไม่เตือนสังคม ก็คงจะเป็นบาปที่ตราตรึงอยู่กับตัวเองไปตลอด

ฮินตันเขียนขึ้นทวิตเตอร์ว่า “ผมลาออกเพื่อจะได้พูดคุยเกี่ยวกับอันตรายของ AI โดยไม่ต้องกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อ Google อย่างไร เพราะผมเชื่อว่าที่ผ่านมา Google ได้ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบมาก”

ฮินตันบอกว่างานบุกเบิกของตนเกี่ยวกับโครงข่ายประสาทเทียมสร้างระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์จำนวนมากในปัจจุบัน

เป็นจังหวะเดียวกับที่นักการเมืองในสภาคองเกรสและผู้มีบทบาทในแวดวงเทคโนโลยี เริ่มแสดงความเป็นห่วงว่าด้วยศักยภาพของ chatbot ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่พัฒนาขึ้นใหม่

ซึ่งอาจจะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานของคนในวงการอาชีพต่างๆ

หลังจาก OpenAI เปิดตัว ChatGPT ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft ก็ผลักดันให้ยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยีอย่าง Google, IBM, Amazon, Baidu และ Tencent ไม่อาจจะอยู่เฉยๆ ได้

ต่างก็พากันกระโจนลงมาเร่งพัฒนาเทคโนโลยีที่แข่งขันกันได้

เพราะทุกคนในวงการนี้ต่างก็กลัวจะ “ตกรถไฟขบวนใหญ่” ทั้งสิ้น

ตามมาด้วยปรากฏการณ์ที่ต้องการจะเบรกอัตราความเร่งร้อนของเรื่องนี้

ในเดือนมีนาคม คนสำคัญด้านเทคโนโลยีกลุ่มหนึ่งลงชื่อในบัญชีหางว่าว เรียกร้องให้ห้องปฏิบัติการ AI ทั้งหลายหยุดการฝึกสอนระบบ AI เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน

เพื่อประเมินความเสี่ยงให้รอบด้าน ก่อนที่มนุษย์จะเดินหน้าแข่งกันสร้างเทคโนโลยีที่มนุษย์ยังไม่เข้าใจถึงภัยอันตรายที่กำลังรออยู่ข้างหน้า

เพราะเริ่มมีคนกลัวว่ามันจะสร้างความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อสังคมและมนุษยชาติเลยทีเดียว

จดหมายเปิดผนึกที่ว่านี้ถูกเผยแพร่โดย Future of Life Institute ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่ได้รับการสนับสนุนจาก Elon Musk

เป็นความเคลื่อนไหวที่มีขึ้นเพียง 2 สัปดาห์หลังจากที่ OpenAI ประกาศเปิดตัว GPT-4

และก่อนหน้านี้ ฮินตันบอกว่าเมื่อ AI ก้าวหน้ามาถึงจุดนี้ อีกหน่อยมนุษย์ก็ “ไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรคือความจริงอีกต่อไป”

และมนุษย์ก็จะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า AI จะพัฒนาตัวเองให้ก้าวไปข้างหน้าอะไรอีก

วันนี้แกเชื่อแล้วว่าอีกไม่ช้าไม่นาน AI จะ “ฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ และอาจเหนือกว่า”

แกบอกว่าความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของ AI กำลังจะเปลี่ยนแปลงสังคมในรูปแบบที่คนเราไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้

อีกทั้งผลกระทบทั้งหมดนั้นไม่ใช่จะออกมาในด้านดีอย่างเดียว

ตัวอย่างเช่น AI อาจช่วยส่งเสริมการรักษาพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก

แต่ขณะเดียวกัน AI ก็สามารถผลิตอาวุธสังหารอัตโนมัติได้

“ความเป็นไปได้ที่ว่านี้มันสามารถเกิดขึ้นได้ทันทีทันใด และน่ากลัวกว่าโอกาสที่หุ่นยนต์จะเข้ายึดครองโลก...ซึ่งยังคงเป็นเรื่องที่ยังอยู่อีกยาวไกล...”

ขนาด “อัจฉริยะ” อย่างฮินตันยังหวาดหวั่น ชาวบ้านอย่างเราที่ไม่มีความสันทัดด้านเทคโนโลยีจะต้องลุกขึ้นมาให้ความสนใจขนาดไหน?.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สี จิ้นผิงบอกบลิงเกน: จีน-มะกัน ควรเป็น ‘หุ้นส่วน’ ไม่ใช่ ‘ปรปักษ์’

รัฐมนตรีต่างประเทศแอนโทนี บลิงเกนไปเมืองจีนครั้งล่าสุดเมื่อสัปดาห์ก่อนเจอกับ “เล็กเชอร์” จากประธานาธิบดีสี จิ้นผิงเป็นชุด

สมรภูมิยะไข่: อีกจุดเดือด กำหนดทิศทางสงครามพม่า

หนึ่งในกองกำลังชาติพันธุ์ที่กำลังกล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางว่าได้ปักหลักสู้กับรัฐบาลทหารพม่าอย่างแข็งแกร่งคือ “อาระกัน” หรือ Arakarn Army (AA) ในรัฐยะไข่ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกของประเทศ ติดชายแดนบังคลาเทศ

ส่องกล้องสนามรบทั่วพม่า : แพ้ไม่ถาวร, ชนะไม่เบ็ดเสร็จ

แม้ว่าการสู้รบในเมียวดี ตรงข้ามกับแม่สอดดูจะแผ่วลง เพราะมีการต่อรองผลประโยชน์สีเทากันระหว่างกลุ่มต่างๆ แต่สงครามในเขตอื่นๆ ทั่วประเทศพม่ายังหนักหน่วงรุนแรงต่อไป

เมียวดี: สงคราม, ทุนสีเทา, กาสิโน, มาเฟียและยาเสพติด

สงครามในเมียวดีตรงข้ามแม่สอดของจังหวัดตากของไทยซับซ้อนกว่าเพียงแค่การสู้รบแย่งชิงพื้นที่ระหว่างฝ่ายกองทัพพม่ากับฝ่ายต่อต้านเท่านั้น

งบมะกันก้อนใหม่จะช่วยยูเครน พลิกสถานการณ์สู้รบได้แค่ไหน?

แม้ว่ารัฐสภาสหรัฐฯจะเปิดไฟเขียวให้งบประมาณช่วยเหลือทางทหารก้อนใหม่ แต่ยูเครนก็ยังต้องดิ้นรนไม่ให้แพ้สงครามกับรัสเซีย

ทิม คุกบินไปเวียดนาม-อินโดฯ ทำไมไม่แวะประเทศไทย?

สัปดาห์ก่อน ทิม คุก ซีอีโอของ Apple บินข้ามไทยไปเวียดนาม, อินโดนีเซียและสิงคโปร์ เพื่อสรุปแผนการลงทุนหรือเพิ่มกิจกรรมในประเทศเหล่านั้น