ยี่สิบปีของการต่อสู่ในอุดมการณ์ใหญ่-สถาบันหลักของชาติ

คงต้องเขียนย้ำกันอีกครั้งแล้วในเรื่องการต่อสู้ทางความคิด-อุดมการณ์ใหญ่ของชาติอันเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้เขียนไปหลายรอบแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2มีนาคม 2562 ที่ราศีธนูพฤหัสบดีจร(5)หัวหน้าดาวดีหรือศุภเคราะห์ดวงใหญ่สุด ได้เดินย้อนเข็มนาฬิกาจากราศีพิจิกแตะราศีธนูเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี โดยก่อนหน้านี้ที่ราศีธนูมีพระเสาร์จร(7)หัวหน้าดาวร้ายหรือบาปเคราะห์รออยู่ในราศีธนูก่อนแล้ว

อันว่าปรากฎการณ์เริ่มแตะร่วมราศีกันของหัวหน้าดาวดี-ร้ายนี้ถือเป็นครั้งที่13นับตั้งแต่วางเสาหลักเมืองรัตนโกสินทร์เมื่อวันอาทิตย์ที่21เมษายน 2325 เวลา06.54เป็นต้นมา ซึ่งหากคิดตามหลักที่อ.เทพย์ สาริกบุตร ครูโหรผู้ล่วงลับให้ไว้แล้วถือว่าเป็นการเริ่มยุคที่13ของกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วยุคนี้จะกินเวลาไปนานอีกยี่สิบปี ก่อนที่ดาวสองดวงจะแตะร่วมราศีกันอีกรอบ

เมื่อย้อนอดีตกลับไปตั้งแต่ลงเสาหลักเมืองมายุคโบราณที่เกิดจากการแตะร่วมราศีระหว่างดาวสองดวงที่อ้างจากหนังสือโหราศาสตร์ในวรรณคดีมีสิบยุคแต่ละยุคยาวนานยี่สิบปีคือ

ยุคมหากาฬ-พาลยักษ์-รักบิณฑิต-สนิทธรรม-จำแขนขาด-ราชโจร-ชนท้องทุกข์-ยุคทมิฬ-ถิ่นกาขาว-ชาววิไลหรือราชวิไล
หลังจากนั้นก็สู่ยุคที่สิบเอ็ดโชติช่วงชัชวาลด้วยก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย และยุคที่สิบสองโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ท

ส่วนยุคที่สิบสามนี้ที่เริ่มมาตั้งแต่2มีนาคม 2562 และจะกินเวลานานไปอีกยี่สิบปีจนถึงประมาณ4เมษายน 2582

ซึ่งการเกิดของยุคที่สิบสามของกรุงรัตนโกสินทร์นี้ก่อกำเนิดจากการแตะกันในราศีธนูที่เป็นอาณาเขตของความหมายหลายอย่างของเมืองเช่นโชค-ศีลธรรม-ความสงบสุข-ปรัชญา-ลัทธิการเมือง-ศาสนา-ความเชื่อ-การค้าระหว่างรัฐ-ภาษีระหว่างรัฐ-การทหารเรือ-การเดินเรือ-การบินระหว่างประเทศ-กฎหมายและนักกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม

สำคัญคืออาจจะมีการเกิดขึ้นและดำรงอยู่ของลัทธิความเชื่อและการเมืองแบบแปลกๆ

ในอดีตยุคคล้ายกันนี้เคยเกิดลัทธิแบ่งแยกดินแดนภาคใต้และลัทธิคอมมิวนิสต์ในแผ่นดินจนคนไทยเคยจับอาวุธมาสู้กันมาแล้ว แต่ในที่สุดลัทธิคอมมิวนิสต์ก็สลายเชื้อกลายเป็นกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ส่วนกระบวนการแบ่งแยกดินแดนขณะนี้กำลังหาทางเจรจาสงบศึกกันอยู่

ภาพดวงเมืองรัตนโกสินทร์
พฤหัสบดีจร(5)เริ่มแตะร่วมราศีกับพระเสาร์จร(7)ที่ราศีธนูเมื่อ2มีนาคม 2562-เริ่มยุคที่สิบสามของกรุงรัตนโกสินทร์

อย่างไรก็ตามผู้เขียนเองเล่าก็เฝ้ามองปรากฎการณ์การเกิดขึ้นของยุคที่สิบสามของกรุงรัตนโกสินทร์ที่ย่อมมีทั้งด้านดี-ร้าย ด้วยการเกิดของยุคแบบนี้นอกจากความสะดวกสะบายก้าวหน้าล้ำสมัยจะจะเต็มล้นแล้ว เกรงว่าจะมีแนวความเชื่อบางอย่างที่จะขับเคลื่อนประเทศไปในทางขัดแย้งและหากตกลงกันไม่ได้ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่คนไทยอาจจะจับอาวุธสู้กันเอง

และแล้วในที่สุดวิวัฒนาการความคิด-ความเชื่อก็ค่อยๆโผล่-ผุดขึ้นมาใจกลางพระนครนั่นคือเรื่องสถาบันหลักของชาติ คือสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งคนไทยย่อมตระหนักกันแล้วถึงการก่อกำเนิดแนวความคิดแก้ไข-หรือยกเลิกม.112 ซึ่งกำลังท้าทายสังคมอยู่ขณะนี้ ที่หากจัดการไม่ดีอาจจะมีความขัดแย้งรุนแรงเกิดขึ้นได้

อีกทั้งในระหว่างยี่สิบปีของยุคนี้อาจจะมีความคิด-ความเชื่อ-อุดมการณ์อื่นๆแทรกเข้ามาได้เช่นเรื่องเศรษฐกิจ-การผูกขาด-กินรวบฯลฯที่ต้องจับตาดูกันต่อไป
ส่วนเรื่องสถาบันหลักองชาตินั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนกว่าจะถึงยุคที่14ของกรุงรัตนโกสินทร์ที่จะเริ่มประมาณ4เมษายน 2582นั้นผู้เขียนไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองบ้างอีกทั้งถึงเวลานั้นก็คงไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

แต่ผู้เขียนก็มีเพียงหลักของการอ่านพื้นดวงเดิมดวงเมืองที่ถูกออกแบบมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโดยคณะโหร-ชีพ่อพราหมณ์ที่ให้ฤกษ์กำเนิด-ตกฟากเมื่อวันอาทิตย์ที่21เมษายน 2325 เวลา 06.54น.ลัคนาสถิตราศีเมษ ธาตุไฟที่พอเป็นเครื่องนำทางให้ถ้าหากคนไทยถึงวาระจะหว้าเหว่นักคือ

โดยขอให้จับตาดูพระอาทิตย์ ดวงเดิม(๑)ซึ่งเป็นตัวแทนภพที่ห้า-ปุตตะอันหมายถึงๆลูกๆ-หลานๆของเมือง หรือบรรดาวัยรุ่นของเมืองก็ได้อีกหนึ่งความหมาย

หรือจะอ่านอีกหนึ่งความหมายของพระอาทิตย์คือคนมียศ—ศักดิ์ หรือลูกหลานหรือพระราชสายโลหิตของพระผู้ให้สถาปนาเมืองคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชก็ได้

แล้วพระอาทิตย์ดวงนี้ทางโหรยังเป็นดาวตนุเศษหรือจิตใจของคนในเมืองด้วยอีกส่วนหนึ่ง โดยตำแหน่งที่ตั้งก็กุมลัคนาคือจุดเกิดเมืองนั่นคือจิตใจคนไทยกับเจ้าอยู่คู่ลัคนาเมือง และบ่งบอกว่าตราบใดที่มีเมืองรัตนโกสินทร์อยู่ จิตใจของคนในเมืองก็ผูกพันกับพระราชสายโลหิตของพระผู้ให้สถาปนาเมืองตลอดไป

พระอาทิตย์สถิตราศีเมษได้มาตรฐานสูงอุจจ์-เด่น-ล้ำ ที่จะไม่ตกต่ำหรือต่ำต้อย

เพียงแต่วัน-วาระ-เวลาย่อมผ่านไปตามยุคสมัย เมื่อมีทั้งดาวดี-ร้ายมากระทบจิตใจให้กระเทือนให้เจ้า-ราชวงศ์ถูกรุก-ไล่ แต่พระราชสายโลหิตของพระผู้สถาปนาเมืองก็ย่อมวิวัฒนาการไปตามความเป็นไปของโลกธาตุ-โลกธรรม-วาระและความเหมาะสม

แต่สรุปคือไม่ว่าจะอย่างไรพระอาทิตย์ดวงนี้ก็จะอยู่กับกรุงรัตนโกสินทร์จนกว่าจะไม่มีกรุงรัตนโกสินทร์

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ยโสโอหังไม่ฟังใคร ไม่สนใจกระแส...คิดว่าแจงได้

อ่อนอกอ่อนใจจริงๆ กับสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ ตั้งแต่ถ้อยคำ วาจา ท่าที ลีลาการหาเสียงของคนที่ถูกวางตัวว่าวันหนึ่งจะได้เป็นผู้นำประเทศ ตะโกนด้วยสุ้มเสียงมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่พูด ท

สูตรแต่งตั้งตำรวจ

กว่าจะเคาะ กว่าจะคลอด ก็นั่งนับนิ้วกันแทบหงิก เพราะ 180 วัน ตามเงื่อนไขการบังคับใช้กฎ ก.ตร.ว่าด้วยการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2567

ฤาประเทศไทยจะไร้สีสวย มีแต่สีแสบ

ประเทศไทยอยู่ในสภาพความขัดแย้งระหว่างสีเสื้อมาเกือบ 2 ทศวรรษแล้ว แม้เวลานี้เราจะมีรัฐบาลผสมแบบข้ามขั้ว แต่เราก็ยังไม่เห็นบรรยากาศของความปรองดองเกิดขึ้นอย่างแท้จริง

โลกที่'อันตราย'กับภารกิจของ'คนรุ่นใหม่'

เห็นข่าวเรื่อง ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม อาจารย์ภาควิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ท่านออกมาโพสต์