กลิ่นความเจริญ...กลิ่นความขัดแย้ง กลิ่นไหนแรงกว่ากัน

นับตั้งแต่พรรคส้มชนะการเลือกตั้ง ได้จำนวน ส.ส.มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ก็มีคนเรียกขานพ่อของส้มว่าเป็น “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” แม้แต่ตัวพ่อของส้มเองก็เรียกขานตัวเองเช่นนั้น นัยว่าเอามาจากธรรมเนียมปฏิบัติของสหรัฐอเมริกาที่เรียกคนที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแต่ยังไม่ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งว่า President Elect หมายถึงคนที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นประธานาธิบดี จนกว่าจะได้มีการสาบานตน ซึ่งก็ใช้เวลาเป็นเดือนๆ สำหรับช่วงเปลี่ยนผ่าน แต่สำหรับประเทศไทยเรา จะเรียกหัวหน้าพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง มีจำนวน ส.ส.มากที่สุดเป็น “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ไม่ได้ เพราะประเทศไทยเราไม่ได้เลือกตั้ง

ประธานาธิบดีโดยตรง ดังนั้นทุกคนที่ชนะการเลือกตั้งมาแต่ละเขต รวมทั้งผู้ที่อยู่ในอันดับของบัญชีรายชื่อที่จะได้เป็น ส.ส.นั้น จะต้องเรียกตัวเองเป็น “ว่าที่ ส.ส.” เท่านั้น หมายถึงคนที่ชนะการเลือกตั้ง มีโอกาสจะได้เป็น ส.ส. และกำลังรอการรับรองจาก กกต.

ส่วนการจะเรียกใครว่าเป็น “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ก็ต้องหมายความว่าผ่านการเลือกของรัฐสภา ได้เสียงไม่น้อยกว่า 376 เสียง และกำลังรอให้มีการโปรดเกล้าฯ หลังจากที่ประธานสภาฯ นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วเท่านั้น เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ลงมา ประธานสภาฯ รับสนองพระบรมราชโองการ ทำการปฏิญาณตนต่อเบื้องพระพักตร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรี

เวลานี้พ่อของส้มได้เป็น ส.ส.แล้ว เพราะว่า กกต.รับรองครบทั้งหมด 500 คน แม้ว่าจะมีบางรายที่มีเรื่องร้องเรียนอยู่ นัยว่า “ปล่อยผี” ไปก่อน แล้วค่อยตามไล่จับวิญญาณลงหม้อในวันหลัง ซึ่งสามารถอนุมานได้ว่า คงจะมีบางรายที่อาจจะถูกจับลงหม้อถ่วงน้ำ ไม่ได้เข้าสภา เมื่อพ่อของส้มมีฐานะเป็น ส.ส.ที่ได้รับการรับรองแล้ว ด้อมส้มจำนวนมากก็มองไปไกลแล้วว่าพ่อของส้มจะต้องได้เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นจึงมีข้อความว่า “หอมกลิ่นความเจริญ” อยู่เต็มพื้นที่ Social media โดยที่สลิ่มจำนวนมากก็ตั้งคำถามว่าอะไรคือความเจริญที่ด้อมส้มได้กลิ่น เพราะตอนที่ลุงตู่อยู่ มีความเจริญเกิดขึ้นมากมาย แต่ด้อมส้มไม่ได้กลิ่นความเจริญ อายตนะของการรับรู้กลิ่นทรุดโทรม ถึงขั้นพิการกระมัง ส่วนความเจริญต่อจากนี้ไปน่าจะแรงมาก ด้อมส้มจึงบอกว่าพวกเขาได้กลิ่นความเจริญ

ลองทบทวนดูการหาเสียงของพรรคส้ม แล้วขอถามด้อมส้มว่าความเจริญที่เขาได้กลิ่นนั้น คือเรื่องต่อไปนี้หรือเปล่า 1) การแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ส่วนปลายทางจะไปถึงไหน คิดดูกันเอาเองนะ อนุมานเอาจากคำพูดคำจา คำปราศรัยและการชุมนุมต่างๆ ก็ได้นะ 2) การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น มีนายกฯ ของแต่ละจังหวัด เก็บภาษีไว้ใช้เอง ไม่ต้องส่งส่วนกลาง ไม่มีการปกครองระดับภูมิภาค นี่ก็แค่จุดเริ่มต้น แล้วปลายทางคืออะไร ก็อนุมานเอาเองจากความเคลื่อนไหวที่ ม.อ.ปัตตานี และการจัดเสวนาที่ภาคเหนือเอาก็ได้ 3) การยกเลิกขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่เป็นอัตลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นไทย รวมทั้งความกตัญญูกตเวทีที่พึงมีต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย จะเอาความเจริญแบบนี้ใช่ไหม 4) ความมีเสรีภาพ สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้ หลุดพ้นจากการกดทับของกฎระเบียบและกติกาต่างๆ ของการอยู่ร่วมกัน จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม 5) การเป็นรัฐสวัสดิการสุดโต่ง ทั้งค่าแรง 450 เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 คนแก่ 3,000 บาทต่อเดือน คนพิการ 3,000 บาทต่อเดือน นอนติดเตียง 10,000 บาทต่อเดือน มีลูกเล็กๆ คนละ 1,200 บาทต่อเดือน แล้วตอนนี้ตกลงที่เขาว่าไว้จะได้หรือเปล่าล่ะ นี่คือกลิ่นความเจริญที่ด้อมส้มได้กลิ่นสินะ

แต่กลิ่นที่น่าจะรุนแรงกว่า โชยมาเตะจมูก น่าจะเป็นกลิ่นของความขัดแย้งมากกว่ากลิ่นของความเจริญ แม้ว่าจะมีการเซ็น MOU กันไปแล้ว คิดว่าจะสามารถตั้งรัฐบาลให้ได้อย่างราบรื่นหรือ มันยังมีเหตุแห่งความขัดแย้งอีกหลายเรื่องนะ 1) เรื่องแรกที่เห็นได้ชัดที่สุดในตอนนี้ก็คือตำแหน่งประธานสภาฯ ถ้าหากปล่อยให้ Free vote ไม่มีการตกลงกันภายในของแต่ละพรรค และการตกลงกันระหว่างพรรคว่าจะเอายังไงกันแน่ ความขัดแย้งเกิดขึ้นแน่ 2) ถ้าหากตั้งรัฐบาลได้ ตอนเร่งนโยบายของรัฐบาลพรรคร่วม นโยบายข้อไหนของพรรคไหนจะอยู่ และข้อไหนจะต้องเอาออกไป จะมีความขัดแย้งไหมล่ะ 3) เมื่อถึงเวลาแบ่งกระทรวงกัน จะตกลงกันได้ง่ายๆ ไหมล่ะ จะไม่แย่งกันจนเกิดความขัดแย้งหรอกหรือ 4) ความรู้สึกที่ไม่จริงใจต่อกัน ไม่ได้มีความพึงพอใจในการทำงานร่วมกัน จะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในการทำงานหรือ 5) พรรคต่างๆ ที่รู้ว่าพ่อของส้มมีแผลอยู่มาก จะไม่กระทำการใดๆ ที่ขี่คอพรรคส้มหรือ การที่บางพรรคมีความเก๋าเกมมากกว่าพรรคส้มที่เป็นละอ่อนทางการเมือง จะไม่ถูกขย่มเขย่าหรอกหรือ 6) และเมื่อพรรคส้มถูกขย่มเขย่า ด้อมส้มเขาจะอยู่เฉยได้หรือ อย่าหาว่ามองโลกในแง่ร้ายเลยนะ เราได้กลิ่นความขัดแย้งว่ามันแรงกว่ากลิ่นความเจริญที่ด้อมส้มเขาพูดกันเป็นกระแสใน Social media ตอนนี้นะ

เวลานี้หลายคนก็ฟันธงไปแล้วว่าพ่อของส้มจะไปไม่ถึงดวงดาว ในขณะที่แกนนำในพรรคส้มและด้อมส้มต่างก็อ้างว่าคะแนนเสียงที่เขาได้ 14 ล้านกว่าเสียงนั้นเป็นฉันทามติของประชาชน ลืมไปว่าประชากรของไทยมีเกือบ 70 ล้าน คนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงมีถึง 52 ล้าน แล้ว 14 ล้านที่ไม่ถึง 50% จะเป็นฉันทามติไปได้อย่างไร และที่สำคัญก็คือหลายคนที่เลือกพรรคส้มนั้นคงไม่ได้เห็นด้วยกับจุดยืนทางการเมืองว่าด้วยมาตรา 112 และการกระจายอำนาจที่ยกเลิกการปกครองระดับภูมิภาคหรอกนะ เขาเลือกเพราะเขาอยากได้สวัสดิการที่พรรคใช้หาเสียง แต่ตอนนี้สถานการณ์ก็ส่อแววแล้วว่าสิ่งที่พวกเขาหวังว่าจะได้จึงเลือกพรรคส้มนั้น พวกเขาไม่ได้จะได้ คำว่า “ทันที” หรือคำว่า “ภายใน 100 วัน” มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว ดังนั้นกลิ่นความเจริญที่ด้อมส้มได้นั้นน่าจะไม่ใช่กลิ่นหอม แต่สำหรับคนมีอคติมันก็คงหอมอยู่หรอกนะ แต่กลิ่นที่แรงกว่ากลิ่นความเจริญอย่างชัดเจนคือ กลิ่นแห่งความขัดแย้ง ซึ่งมีที่มาหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ นึกแล้วก็สงสารประเทศไทยจังเลย นักการเมืองบางคนก็ชั่ว ประชาชนบางคนก็เห็นแก่ตัว สื่อมวลชนและนักวิชาการก็ขายตัวรับใช้คนชั่ว ข้าราชการบางคนก็รับสินบนจากคนชั่ว... เศร้าจัง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อยากช่วย...อยากเชียร์...แต่เพลียแล้วนะ

ในคืนวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เราตกใจเมื่อเห็นผลของการเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งมาเป็นที่ 1 ได้ สส. 151 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยมาเป็นที่ 2 ได้ สส. 141 ที่นั่ง ส่วนพรรคที่เขาเรียกขานกันว่าเป็นพรรคอนุรักษ์หรือพรรคหนุนเผด็จการนั้น ได้จำนวน สส.ห่างไกลจาก 2 พรรคนี้มาก ภูมิใจไทยที่ได้จำนวน สส.มาเป็นที่ 3

ยุคพระอาทิตย์ 7 ดวง

ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่...แต่เผอิญไปป่วย หรือ อาพาธ อยู่ประมาณ 3 เดือน คือระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม ปีพุทธศักราช 2535 หรือประมาณ 35 ปีมาแล้ว

หึ่ง! เชือด 'นายพล' อีก

ดูเหมือนจะเป็นหน่วยงานแห่งความหวัง หน่วยงานที่พึ่งสำคัญ ในการจะกลับเข้ารับราชการตำรวจอีกครั้งของ บิ๊กโจ๊ก-พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. หลังจาก บิ๊กต่าย-พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์

ดร.เสรี ชำแหละดิจิทัล 10,000

ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า แจกเงินดิจิทัล 10,000 แก่คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปที่รายได้น้อยกว่า 840,000 หรือเงินเก็บไม่เกิน 500,000 บาท ยังมีคำถามมากมาย

จะมาจากแหล่งไหน....ก็ไม่สบายใจทั้งนั้น

ก่อนการเลือกตั้ง เมื่อมีการหยั่งเสียงคะแนนนิยมว่าก้าวไกลมีคะแนนชนะเพื่อไทย ความร้อนรนกลัวแพ้ บนเวทีปราศรัยของพรรคเพื่อไทยก็มีการประกาศทันทีว่าจะแจกเงินดิจิทัล