เพราะอยากเป็นรัฐบาล จึงเก็บอุดมการณ์ไว้ในลิ้นชัก

ในฐานะของการเป็นประชาชนที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกผู้แทนราษฎร มาเป็นตัวแทนของเราในการทำงานการเมืองเพื่อบริหารประเทศ ทั้งการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เราในฐานะเป็นประชาชนต้องเผชิญ ทั้งการจัดทำนโยบายและโครงการต่างๆ ที่จะเป็นการพัฒนาประเทศ และก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนผู้มอบอำนาจให้แก่ผู้แทนราษฎร ที่มักจะเรียกขานกันว่า “ผู้ทรงเกียรติ” แต่การทำงาน การปฏิบัติตนของพวกนั้นจะมีค่าควรแก่คำที่เราใช้เรียกขานพวกเขาหรือไม่นั้น เราอาจจะพิจารณาได้จากหลายๆ เรื่อง

นักการเมืองบางคนอยู่มาหลายพรรค ย้ายพรรคมาหลายหน ถ้าหากเป็นการย้ายพรรคเพราะมีอุดมการณ์ตรงกับพรรคที่ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยนั้น ก็เป็นเรื่องที่รับได้

แต่บางครั้ง เมื่อเราพยายามจะประมวล สรุปว่าพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือผู้สมัครเป็น ส.ส.คนใดคนหนึ่งนั้น เขามีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร เราจะพบว่าพวกเขาไม่ได้มีอุดมการณ์อะไรที่แน่ชัดเลย ดังนั้นการย้ายพรรคในแต่ละครั้งของนักการเมืองบางคนนั้นคงไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์แต่อย่างใด เพราะบางทีพรรคเองก็ไม่มีอุดมการณ์ คนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในพรรคก็ไม่ได้มีอุดมการณ์เช่นเดียวกัน

นักการเมืองบางคนอาจจะย้ายเข้าพรรคใดพรรคหนึ่งเพราะเห็นด้วยกับนโยบายของพรรค อันนี้ก็พอจะรับได้ แต่พอเจาะลึกลงไปว่านโยบายที่พวกเขาเห็นชอบนั้น บางทีก็ไม่ใช่นโยบายเพื่อพัฒนาประเทศ หรือบางทีก็ไม่ใช่นโยบายแก้ปัญหาที่ควรแก้ แต่กลายเป็นนโยบายประชานิยมที่เน้นการแจก การให้โน่นนี่นั่น นักการเมืองบางคนมองว่านโยบายประชานิยมแบบนี้แหละที่จะทำให้สามารถชนะเลือกตั้งได้ ดังนั้นจึงเข้าไปอยู่ในพรรคที่น่าจะชนะได้ด้วยนโยบายประชานิยม พอได้เป็นรัฐบาล ก็ไม่ต้องสนใจอะไรกับการพัฒนาประเทศ หรือการแก้ปัญหาทางด้านโครงสร้างของประเทศ จัดทำโครงการประชานิยมเพื่อแจกสารพัดแจก ใช้งบประมาณของประเทศในการทำโครงการประชานิยม เพื่อสร้างคะแนนนิยมให้กับพรรค เพื่อชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป นักการเมืองบางคนทำเช่นนี้ ประชาชนส่วนหนึ่งก็ชอบแบบนี้ ก็เลือกพรรคที่มีโครงการประชานิยม สนใจแต่เรื่อง “ฉันจะได้อะไร” ไม่เคยใส่ใจที่จะคิดว่า “ประเทศจะเสียอะไร”

นักการเมืองบางคนก็ย้ายพรรคเพราะถูกซื้อตัว บังเอิญเป็นนักการเมืองดาวฤกษ์ที่มีแสงในตัว ลงเลือกตั้งครั้งใดก็มีโอกาสชนะ จึงเป็นที่สนใจของพรรคการเมืองที่ต้องการ ส.ส.จำนวนมากเพื่อให้ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือมีโอกาสได้ร่วมรัฐบาล นักการเมืองแบบนี้เรารับไม่ได้ แบบนี้จะเรียกว่าเป็นกะหรี่การเมืองก็ไม่ผิดนะ เพราะยอมขายตัวเข้าพรรคโดยไม่ได้สนใจว่าพรรคที่ตัวเองกำลังจะเดินเข้าไปร่วมงานด้วยนั้นมีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างไร พิจารณาเพียงแค่จำนวนเงินที่ทางพรรคจะจ่ายให้เท่านั้น การเมืองบ้านเรา นอกเหนือจากประชาชนบางคนยอมขายเสียงในการเลือกตั้งแล้ว ยังมีนักการเมืองที่ยอมขายตัวให้พรรคด้วย กรณีนี้ นักการเมืองที่ขายตัวก็ชั่ว ส่วนพรรคการเมืองที่ยอมจ่ายเงินซื้อนักการเมืองที่คาดว่าจะชนะเข้าพรรคก็ชั่ว เพราะถ้าหากมีการลงทุนซื้อนักการเมืองเข้าพรรค แล้วจะไม่หาทางเอาทุนคืนด้วยการทุจริตประพฤติมิชอบคงไม่มี

นักการเมืองบางคนย้ายพรรคเพราะทางพรรคสัญญาว่าจะให้ตำแหน่งรัฐมนตรี ถ้าหากแม้นว่าคนคนนั้นหวังตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงที่ตนเองมีความรู้ความสามารถในการจะกำกับดูแลกิจการของพรรค เราก็พอจะรับได้ แต่ที่เห็นในประเทศเวลานี้ หลายคนอยากเป็นรัฐมนตรี กระทรวงอะไรก็ได้ ขอแค่ให้ได้เป็น จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีความรู้ในการที่จะกำกับกระทรวงนั้นเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ยังอยากจะเป็น คนพวกนี้ถ้าไม่ใช่แกนนำในการหาเสียงให้พรรค ก็เป็นตู้ ATM ของพรรค เมื่อเป็นรัฐมนตรีแล้ว ทำงานได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรเลยสำหรับคนที่กระสันอยากเป็นรัฐมนตรี ประเทศไทยของเราเสียโอกาสในการพัฒนาก็เพราะได้รัฐมนตรีประเภทที่ “อยากเป็นทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้ใดๆ ในการกำกับดูแลกิจการของกระทรวง”

นอกเหนือจากนักการเมืองมักจะไม่ค่อยมีอุดมการณ์กันแล้ว พรรคการเมืองในเวลาที่จะรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลก็ไม่มีอุดมการณ์เช่นกัน ขอให้ได้ร่วมเป็นรัฐบาล ไม่ว่าพรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะมีอุดมการณ์เช่นไร เราจึงอยากถามว่าพวกคุณเห็นด้วยกับการแก้มาตรา 112 หรือไร พวกคุณมีทัศนะต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไฉน พวกคุณเห็นด้วยกับการให้เสรีภาพแก่คนในจังหวัดต่างๆ ในการกำหนดเอกราชของตนเองแยกดินแดนออกจากประเทศไทยกระนั้นหรือ พวกคุณพิจารณานโยบายต่างประเทศอย่างลึกซึ้งแล้วหรือว่ามันน่าเป็นห่วงและเป็นอันตรายต่อประเทศแค่ไหน หรือว่าคุณไม่สนใจเพราะอยากเป็นรัฐบาล คุณเห็นด้วยกับการยกเลิกขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของประเทศเหมือนเด็กที่มีทัศนะชังชาติด้วยหรือ คุณเห็นด้วยกับการที่จะให้เด็กๆ มีพฤติกรรมอย่างที่พวกเขาแสดงออกในเวลานี้กระนั้นหรือ คุณเชื่อหรือว่าเด็กๆ ที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวเลวทรามทั้งหลายเหล่านั้น คิดได้เองโดยไม่มีใครครอบงำ

มีอีกตั้งหลายเรื่องที่คนไทยที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่อาจจะยอมรับพรรคการเมืองบางพรรคได้ ไม่ต้องการให้พวกเขามาเป็นผู้นำ มาบริหารประเทศ แต่ก็มีพรรคการเมืองที่อยากเป็นรัฐบาล ไม่สนใจอุดมการณ์และจุดยืนทางการเมืองของพรรคที่จะจัดตั้งรัฐบาลเลย จนทำให้เราต้องพูดว่า “เพราะอยากเป็นรัฐบาล จึงเก็บอุดมการณ์ไว้ในลิ้นชัก” เราคิดว่าเราพูดไม่ผิดนะ ถ้าหากเราจะพูดผิดก็ตรงที่ว่าพวกคุณไม่ได้เก็บอุดมการณ์ไว้ในลิ้นชัก แต่แท้ที่จริงแล้วพวกคุณอาจจะไม่เคยมีอุดมการณ์ใดๆ เลยก็ได้ เล่นการเมืองเพื่อขอเป็นรัฐบาล ส่วนเหตุผลในการจะเป็นรัฐบาลของนักการเมืองบางคนก็ดีงาม แต่ที่เลวทรามก็มีไม่น้อย ประชาชนจำนวนมากจึงไม่อยากยุ่งกับการเมือง ไม่สนใจการเมือง ทำให้นักการเมืองไร้อุดมการณ์จำนวนหนึ่งมีโอกาสได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน แล้วใช้อำนาจในการกอบโกยผลประโยชน์อย่างน่ารังเกียจ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นักการเมืองไม่ทำชั่ว...ไม่ต้องกลัวรัฐประหาร

นายกรัฐมนตรี 2 คนที่มาจากตระกูลชินวัตรต้องถูกยึดอำนาจจากการทำรัฐประหารในปี 2549 และ 2557 ทำให้นายใหญ่ของพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นหมายเลข 1 ของตระกูลชินวัตรมีความประหวั่นพรั่นพรึงการทำรัฐประหารของทหารเป็นอย่าง

'หิริ-โอตตัปปะ'คือวาระแห่งชาติ!!!

คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า...ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ความอาย หรือจะเรียกภาษาพระ ภาษาบาลี ประมาณว่า หิริ-โอตตัปปะ ก็คงพอได้ นับวันมันชักเป็นอะไรที่ ขาดแคลน

'เห็นลิ้นไก่' แก้ กม.กลาโหม

ป่วนกันทั้ง "กรมปทุมวัน" หลังคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. มีคำวินิจฉัยกรณีตำรวจยศ พ.ต.อ. ตำแหน่งนักบิน (สบ 5) รายหนึ่ง

ลัคนาธนูกับเค้าโครงชีวิตปี 2568

ยังอยู่ในช่วงเจ็ดปีของการเปลี่ยนแปลงใหญ่สุขภาพอนามัย-หนี้สิน-ลูกน้องบริวาร และเกือบตลอดปีผู้หลักผู้ใหญ่อวยสถานะ-ยศ-เงินทองให้ แต่มีช่วงซ้อมรับทุกข์และการได้ความผิดที่ไม่ได้ก่อ

เด็กฝึกงาน...ไม่ผ่านโปร

ฉากทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทยหลังจากรู้ผลของการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เป็นภาพที่สร้างความกังวลให้กับคนไทยจำนวนมากที่ไม่ได้เลือกพรรคส้มหรือพรรคแดง