ลาก่อน…Affirmative Action

เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ทางศาลฎีกาของสหรัฐมีคำวินิจฉัยที่เขย่าสังคมอเมริกาไม่ต่างกับตอนมีคำวินิจฉัยคว่ำเรื่องทำแท้ง ในคดี Roe VS Wade เมื่อปีที่แล้ว ในครั้งนี้ถือว่าเป็นการคว่ำแนวปฏิบัติที่เรียกว่า Affirmative Action ในการรับนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยที่มีมายาวนาน

Affirmative Action สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคย เป็นนโยบายที่จะผลักดันความเสมอภาคระหว่างเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา เป็นนโยบายที่เปิดโอกาสให้กลุ่มชั้นผู้น้อยในสหรัฐมีสิทธิหรือโอกาสเท่ากับคนผิวขาว ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน พื้นฐานนโยบายนี้คือ อยากให้คนผิวดำกับคน Latin (คนผิวสีน้ำตาล) ได้มีโอกาสเท่า “คนอเมริกัน” (คนผิวขาว) ทั้งในโรงเรียนและที่ทำงาน

แต่เดิมสหรัฐเป็นประเทศที่แบ่งแยกสังคมด้วยสีผิว (ตามด้วยเชื้อชาติและศาสนา) ถ้าคุณเป็นคนผิวขาว คุณมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ คุณอยากเรียนที่ไหนก็เรียนได้ อยากทำงานที่ไหนก็ทำได้ อยากอยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ แต่คนสีผิวอื่นๆ ไม่เป็นเช่นนั้นครับ ไปเรียนที่เดียวกับคนผิวขาว ส่วนใหญ่จะห้าม หรือแม้แต่กินกับพวกเขาก็ไม่ได้ครับ

จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงสังคมยุค 1960s ที่คนผิวดำเริ่มลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของเขามากขึ้น และสิ่งสำคัญคือ สังคมอเมริกัน (คนผิวขาว) จำนวนไม่น้อย เริ่มเรียกร้องยืนอยู่เคียงข้างคนผิวดำ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ค่อยสนเท่าไร จนผลักดันให้ผ่านกฎหมาย Civil Rights Act (1964) ระบุชัดเจนว่า คนอเมริกันทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเพศอะไร นับถือศาสนาอะไร หรือเป็นคนผิวสีอะไร และแนวความคิดของ Affirmative Action เข้ามาส่งเสริม Civil Rights Act

Affirmative Action โดยทั่วไปคือ ให้สถานศึกษาหรือที่ทำงานในการรับสมัคร (นักศึกษาหรือพนักงาน) ต้องเปิดโอกาสและพิจารณาถึงคนอื่นที่ไม่ใช่คนผิวขาว อันนั้นคือสปิริตและเจตนาของทั้ง Civil Rights Act กับ Affirmative Action แต่คำว่าสปิริตกับเจตนา มันเป็นนามธรรม และเป็นเพียงอักษรที่อยู่บนกระดาษ การปฏิบัติในโลกแห่งความจริงและเป็นรูปธรรมนั้นจะทำอย่างไร? หลายที่ (ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาหรือที่ทำงาน) เลยคิดระบบโควตา (อย่างไม่เป็นทางการ) ซึ่งหมายความว่า ในสถานที่นั้นๆ จะรับนักศึกษาหรือพนักงานจำนวนหนึ่งตามสีผิวของเขา เพราะในยุคก่อน โอกาสเหล่านี้จะไปที่คนผิวขาวหมด

ข้อดีก็คือ คนเหล่านี้มีโอกาสมากขึ้น หรืออย่างน้อยๆ มีโอกาสมากกว่ายุคก่อน ที่ไม่มีโอกาสเลย แต่ข้อเสียคือ ที่เขาเข้าเรียนหรือทำงานได้ เพราะความสามารถ หรือเพราะสีผิวของเขา? และถ้าเขาเรียนหรือทำงานเพราะนโยบายนี้ คนผิวขาวที่มีความสามารถจริงๆ ทำไมเขาต้องถูกปฏิเสธไป? เพราะโควตา? ความยุติธรรม? ความเสมอภาค? คำถามเหล่านี้คือหัวใจของ Affirmative Action ที่มีคนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแรงพอๆ กัน แล้วเอาเข้าจริง ทั้งสองฝ่ายถูกทั้งคู่ครับ

คำวินิจฉัยของศาลฎีการิเริ่มจากการฟ้องของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Students for Fair Admissions ที่ฟ้อง Harvard University กับ University of North Carolina at Chapel Hill (UNC) เมื่อปี 2014 ด้วยแกนนำของ Edward Blum ที่ต่อต้านเรื่อง Affirmative Action กลุ่มนี้ประกอบไปด้วยคนที่สมัครทั้งสองมหาวิทยาลัย แต่ถูกปฏิเสธ กลุ่มนี้กล่าวหาว่าที่เขาถูกปฏิเสธเป็นเพราะเขาเป็นคนผิวขาว และที่นั่งที่เขาควรจะได้ (ทั้งๆ ที่เกรดเฉลี่ยเข้าเกณฑ์และผ่านคุณสมบัติอื่นๆ หมด) ไปตกกับคนอื่นที่ไม่ควรจะได้ เพียงเพราะ Affirmative Action เท่านั้น วัตถุประสงค์ของกลุ่มนี้คือ เลิกระบบ Affirmative Action ตามมหาวิทยาลัย เพราะ Affirmative Action ละเมิดสิทธิพวกเขา และขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ศาลชั้นต้นไม่เห็นด้วยกับคำร้อง พวกเขาเลยยื่นต่อที่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น เลยยื่นต่อที่ศาลฎีกา ปรากฏว่าศาลฎีกาเห็นด้วยกับ Students for Fair Admissions ในเรื่องนี้ด้วยคะแนน 6-3 ครับ

ขั้นตอนต่อไปคือ จำเลย (Harvard University กับ UNC) มีโอกาสชี้แจงและยื่นคำร้องกลับไปที่ศาลฎีกา แต่อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะทางจำเลยต้องชี้แจงว่าเขาไม่เคยมีนโยบายกีดกันหรือกลั่นแกล้งผู้สมัครเข้ามหาวิทยาลัย เขาบอกชัดเจนมาโดยตลอดว่า เรื่อง Affirmative Action เป็นเพียง หนึ่งในกระบวนการพิจารณาผู้สมัครเท่านั้น และไม่ได้มีส่วนสำคัญในกระบวนการด้วย ซึ่งตรงนี้จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า Affirmative Action มีบทบาทหรือไม่ ก็ไม่รู้ครับ จึงต้องดูกันต่อไปว่า จำเลยทั้ง 2 มหาวิทยาลัยจะเดินหน้าต่ออย่างไร

แต่ที่รู้แน่ๆ คือ คำวินิจฉัยของศาลฎีกาในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการประกาศอวสานของ Affirmative Action ในรูปแบบที่คุ้นเคยกันมาในสหรัฐเป็นเวลากว่า 50 ปี และสำหรับคนอเมริกันที่ชอบมองการแต่งตั้งตุลาการศาลฎีกาว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องไม่สำคัญ เป็นเรื่องไกลตัว ดูศาลฎีกาสหรัฐชุดนี้ครับ

ศาลชุดนี้ออกแนวอนุรักษนิยมขวาหน่อยๆ ซึ่งฐานของกลุ่มอนุรักษนิยมในสหรัฐต่อต้านแนวความคิดหรือนโยบายที่จะเป็นภัยต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เขา (หลง) เชื่อว่าเป็นวิถีชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาและประเทศ เขาจะต่อต้านแนวความคิดเสรีนิยม โดยเฉพาะเสรีนิยมจ๋า ที่พวกเขารับไม่ได้

วินิจฉัยคว่ำกฎหมายเดิม Roe VS. Wade และการลบล้าง Affirmative Action ในตัว เป็นการประกาศให้โลกอนุรักษนิยมรับรู้ว่า โลกใหม่ที่ออกเสรีนิยมหน่อยๆ จะค่อยๆ เปลี่ยนทิศกลับไปที่วิถีชีวิตดั้งเดิม (ถึงบอกว่าเรื่องการเมืองไม่ได้ไกลตัวอย่างที่คิดครับ)

ในสหรัฐ เราก็ต้องดูกันต่อไปว่าการวินิจฉัยครั้งนี้จะเป็นไปในทิศทางไหนต่อ และมีผลกระทบกับทั้งประเทศอย่างไรต่อ แล้วจะต้องดูกันว่าเมื่อเข้าฤดูการเลือกตั้งเลือกประธานาธิบดี เรื่องการต่อต้านสังคม Woke จะเป็นเช่นไร แล้วใครจะโหนกระแสนี้มากที่สุด ซึ่งในโอกาสหน้าผมจะต้องใช้เวลาพอสมควร อธิบายและพูดถึงเรื่อง Woke ครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Be Careful What You Wish For….Your Wishes May Come True

ปกติถ้าบอกว่า “รอดูผลอีก 9 เดือน” คงไม่ต้องอธิบายความหมายใช่ไหมครับ? แต่สำหรับแฟนๆ TikTok ในสหรัฐอเมริกา ความหมายจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดี Joe Biden ได้ลงนามอย่างเป็นทางการให้บริษัท Bytedance ขาย TikTok ในสหรัฐภายใน 9 เดือน หรือถ้าจะยืดเวลาออกไป

Sending a Message หรือ The Calm Before the Storm?

เมื่อสัปดาห์ก่อน ช่วงเวลาที่พวกเราสนุกและพักผ่อนกันเต็มที่ช่วงสงกรานต์นั้น มีเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่มันเกิดได้ทุกเมื่อ และในที่สุดก็เกิดขึ้นจริงๆ ครับ

หลานชายคุณปู่

สวัสดีปีใหม่ไทยครับ ช่วงเขียนคอลัมน์นี้ ผมยังอยู่ที่บ้านเฮา เจออากาศทั้งร้อนมากและร้อนธรรมดา เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมเขียนเรื่องการขับรถขึ้นมาบ้านเฮากับลูกสาว

หลานคุณปู่

คอลัมน์สัปดาห์นี้กับสัปดาห์หน้า น่าจะเป็นคอลัมน์เบาๆ ครับ ผมเชื่อว่าแฟนๆ ครึ่งหนึ่งน่าจะหนีร้อนในไทยไปสูดอากาศเย็น (กว่า) ที่อื่น ส่วนใครที่ไม่ไปไหน คงไม่อยากอ่านเรื่องหนักๆ

'แก๊ง'ล้มรัฐบาลได้ด้วยเหรอ? (ตอน 2)

เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมเขียนเรื่องราวแก๊งที่ผมสัมผัสและรู้จักสมัยอยู่สหรัฐ สำหรับใครที่ชอบฟังเพลงแนว Gangster Rap ก็คงจะคุ้นเคยกับสิ่งที่ผมเขียนไป แต่สำหรับหลายท่านที่เติบโตคนละยุคคนละสมัยอาจไม่คุ้นเลย

'แก๊ง'ล้มรัฐบาลได้ด้วยเหรอ? (ตอน 1)

ผมมีความรู้สึกว่า ช่วงนี้มีข่าวประเภทแก๊งมีอิทธิพลในประเภทประเทศเอลซัลวาดอร์ โคลอมเบีย และเม็กซิโก มีผลต่อเสถียรภาพการเมืองระดับชาติประเทศเขา