คนอเมริกันส่วนใหญ่มองลบต่อระบอบประชาธิปไตย

ผลวิจัยเมื่อมิถุนายน 2023 ของ Associated Press-NORC Center for Public Affairs Research เผย คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย มีเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่ชื่นชมการปกครองระบอบประชาธิปไตยของตนกำลังไปได้ดีจริงๆ คิดว่าพวกพรรคการเมือง ศาลฎีกา ประธานาธิบดี รัฐบาลไม่ยึดมั่นประชาธิปไตย ส่วนใหญ่จอมปลอมมากกว่า ไม่ตั้งใจทำเพื่อประชาชนจริง ส่วนใหญ่คิดว่า กฎหมายกับนโยบายรัฐบาลไม่เป็นไปตามที่ประชาชนต้องการ ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายควบคุมปืน ประเด็นผู้อพยพเข้าเมือง จนถึงการทำแท้ง

รูป: แถบขวาสุดคือดีเยี่ยม/ดีมาก แถบตรงกลางพอใช้ แถบซ้ายมือไม่ค่อยดี/ไม่ดีเลย
อ้างอิง: https://apnorc.org/projects/most-adults-feel-the-interests-of-people-like-them-are-not-well-represented-2/

ในภาพรวมทั้งประเทศ 49% เห็นว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยยังทำงานได้ดี ในจำนวนนี้มีเพียง 10% เท่านั้นที่คิดว่าดีเยี่ยม ดีมาก อีก 40% บอกว่าพอใช้ คนอเมริกันอีกครึ่งตอบว่าระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่แย่ (อุดมการณ์ประชาธิปไตยดีแต่ผลทางปฏิบัติไม่ดีตามทฤษฎี) แยกเป็นพวกเดโมแครต 47% บอกว่าแย่ ส่วนรีพับลิกัน 56% ตอบว่าแย่ รวมความแล้วมุมมองคนอเมริกันต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยยังคงเดิมไม่ต่างจากผลสำรวจครั้งก่อนๆ

คนอเมริกัน 53% ฟันธงว่า ส.ส., ส.ว. (โดยรวม) ห่วยแตกไม่ยึดมั่นหลักประชาธิปไตย ข้อนี้มีเพียง 16% ที่คิดว่านักการเมืองยึดมั่นประชาธิปไตยจริง

เมื่อเจาะจงที่รัฐบาลไบเดน 6 ใน 10 ของพวกเดโมแครตเห็นว่ารัฐบาลสอบผ่าน ยึดมั่นประชาธิปไตย แต่ 4 ใน 5 ของพวกรีพับลิกันให้รัฐบาลสอบตก และทั้ง 2 พวกส่วนใหญ่ให้ ส.ส., ส.ว. (โดยรวม) สอบตก 8 ใน 10 ของพวกเดโมแครตฟันธงว่าพรรครีพับลิกันไม่ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยจริง เช่นเดียวกับที่พวกรีพับลิกันฟันธงว่าพรรคเดโมแครตไม่เป็นประชาธิปไตยเช่นกัน

การแตกแยกทางการเมือง การแบ่งขั้วของอเมริกานับวันจะร้ายแรง ไม่ร่วมมือกันแก้ปัญหาชาติตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ อย่างเงินเฟ้อ เศรษฐกิจส่อแววถดถอย แทนที่นักการเมืองจะช่วยกัน กลับซ้ำเติมสร้างความทุกข์ยากแก่ประชาชน

ด้านคนอเมริกันด้วยกันเองรู้สึกแปลกแยก คนหนึ่งกับอีกคนเข้ากันไม่ได้จากความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่าง ทั้งๆ ที่ยึดถือหลักประชาธิปไตยเหมือนกัน

ส่วนใหญ่สงสัยว่าพวกนักการเมืองกับรัฐบาลเข้าใจหรือไม่ว่าประชาชนต้องการอะไร 71% คิดว่าเรื่องที่ประชาชนคาดหวังมีความสำคัญที่สุดเมื่อนักการเมืองจะออกกฎหมายหรือนโยบาย มีเพียง 48% ที่คิดว่าได้รับการตอบสนองจริง ในขณะที่เกือบ 70% เห็นว่ากฎหมายกับนโยบายต้องยึดรัฐธรรมนูญเป็นหลักสำคัญสุด แต่มีเพียงครึ่งเดียวที่คิดว่ากฎหมายกับนโยบายที่ออกยึดรัฐธรรมนูญจริง

ยิ่งเจาะลึกลงแต่ละนโยบาย ยิ่งพบว่ากฎหมายหรือนโยบายที่ออกไม่ตรงกับความต้องการของประชาชนจริงๆ เช่น ประเด็นผู้อพยพเข้าเมือง การใช้จ่ายของรัฐบาล การทำแท้ง นโยบายควบคุมปืน แม้กระทั่งนโยบายเศรษฐกิจ LGBTQ+ การสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม

วิพากษ์องค์รวมและสรุป:

ประการแรก ประธานาธิบดีกับภาพลักษณ์ประชาธิปไตย

สมัยรัฐบาลทรัมป์นักวิเคราะห์หลายคนตีความว่ารัฐบาลสหรัฐถอยห่างจากประชาธิปไตย จากลัทธิการค้าเสรี การปกป้องสิ่งแวดล้อมโลก พยายามแก้ไขปัญหาประเทศตัวเองด้วยวิสัยทัศน์คับแคบ ไม่สนใจความเป็นของโลก เหล่านี้ทำลายภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำโลกเสรีที่รัฐบาลสหรัฐพยายามเชิดชู

ประธานาธิบดีไบเดนตีตราว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นพวกกึ่งเผด็จการ (semi-fascism) เป็นพวกสุดโต่ง (extremist) รวมถึง ส.ส., ส.ว.บางคนด้วย

ในขณะเดียวกัน นโยบายหลายข้อของรัฐบาลไบเดนถอยห่างจากหลักเสรีภาพ ใช้ลัทธิปกป้อง (protectionism) ขวางการค้าเสรี ยึดความมั่นคงแห่งชาติเหนือลัทธิเสรีนิยมที่ครั้งหนึ่งรัฐบาลสหรัฐเชิดชูไม่ต่างจากสมัยทรัมป์

ประการที่ 2 พรรครีพับลิกันไม่ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยจริง

ผลวิจัยของ Associated Press-NORC Center for Public Affairs Research ระบุว่า 8 ใน 10 ของพวกเดโมแครตฟันธงว่าพรรครีพับลิกันไม่ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยจริง เรื่องนี้ไม่อาจอธิบายง่ายๆ ขึ้นกับทัศนคติ มุมมองและอีกหลายปัจจัย หนึ่งในเรื่องจริงที่ควรทราบคือคนอเมริกันส่วนหนึ่งเป็นพวกนิยม White Supremacy เรื่องที่คนผิวขาวบางกลุ่มเห็นว่าพวกตนเท่านั้นที่เป็นผู้ปกครองอันชอบธรรมของประเทศ มีอภิสิทธิ์เหนือชนกลุ่มน้อย ชนเชื้อสายอื่นๆ แม้เป็นพลเมืองอเมริกันเหมือนกัน เป็นความชอบธรรมที่คนผิวขาวใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ส่วนคนผิวสีต้องเป็นเบี้ยล่าง เป็นผู้รับใช้ คนขาวจะต้องได้รับการยกย่องจากชนเชื้อชาติอื่นๆ พวกที่นิยม White Supremacy ส่วนใหญ่เทคะแนนให้พรรครีพับลิกัน เรื่องนี้ไม่ใช่ของใหม่ ดำเนินต่อเนื่องมาเนิ่นนานแล้ว

จึงเป็นคำถามว่าคนอเมริกัน (จำนวนหนึ่ง) มีความเป็นประชาธิปไตยมากเพียงไร คำว่าประชาธิปไตย “ในมุมมองของพวกเขา” เป็นอย่างไรกันแน่ ดูเหมือนว่าไม่เสมอภาค ไม่เท่าเทียม

อาจตีความต่อว่า ไม่แปลกที่คนเหล่านี้สนับสนุนทรัมป์อย่างแข็งขัน แม้ทรัมป์ถูกตีตราว่าไม่ยึดมั่นประชาธิปไตย การเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติในสหรัฐไม่ใช่เรื่องทัศนคติส่วนบุคคลแต่เป็นโครงสร้างสังคมที่ยึดถือในคนกลุ่มก้อนใหญ่

ประการที่ 3 นักการเมืองผู้สร้างความแตกแยก

ผลวิจัยของ Associated Press-NORC Center for Public Affairs Research ระบุว่า การแตกแยกทางการเมือง การแบ่งขั้วของอเมริกานับวันจะร้ายแรง ไม่ร่วมมือกันแก้ปัญหาชาติ แทนที่นักการเมืองจะช่วยกันกลับซ้ำเติมสร้างความทุกข์ยากแก่ประชาชน

แดรอน อเซโมกลู (Daron Acemoglu) นักเศรษฐศาสตร์อเมริกันแสดงความเห็นว่า ปัญหาที่สะสมหมักหมมมานานทำให้คนอเมริกันจำนวนมากไม่เชื่อถือนักการเมือง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทรัมป์ได้รับเลือก รัฐบาลทรัมป์พยายามเอาใจคนอเมริกันกลุ่มนี้ด้วยการออกนโยบายต่อต้านคนผิวสี ต่อต้านคนต่างด้าวอพยพเข้าเมือง ใช้กลยุทธ์สร้างความแตกแยกเพื่อชักนำคนฝ่ายหนึ่งมาสนับสนุนตนอย่างแข็งขัน แต่หลังบริหารประเทศไม่นานคนอเมริกันพบว่าทรัมป์บั่นทอนประชาธิปไตยอย่างมากเพราะมีแนวคิดต่อต้านเสรีนิยม ไม่สนใจต่อต้านทุจริตคอร์รัปชัน มีแนวคิดปกครองประเทศแบบอำนาจนิยม พยายามนำคนในครอบครัวมาบริหารประเทศ

เจมส์ แมตทิส (James Mattis) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า ทรัมป์คือประธานาธิบดีคนแรกที่ไม่พยายามรวมประเทศเป็นหนึ่งเดียว พยายามสร้างความแตกแยก รวมความแล้วตลอด 4 ปีของประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำประเทศเป็นผู้ปลุกกระแสความรุนแรง เกลียดชังอีกฝ่าย โหมกระพือ White Supremacy อเมริกาแบ่งแยกกว่าเดิม

ประการที่ 4 ไม่จำต้องเป็นประชาธิปไตยแบบอเมริกา

ประชาธิปไตยเป็นการปกครองที่มีข้อดี บางคนคิดว่าประชาธิปไตยที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน ความจริงแล้วคำว่าประชาธิปไตยมีความหมายหลายอย่าง ในเชิงอุดมการณ์หมายถึงการปกครองที่ให้ความสำคัญกับประชาชน ประโยชน์ต้องตกแก่ประชาชนและเป็นประโยชน์ที่ยั่งยืน ส่วนจะเป็นรูปแบบใดนั้นแต่ละประเทศมีพัฒนาการของตนเอง รูปแบบประชาธิปไตยสหรัฐจึงแตกต่างจากอังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฯลฯ

การสรุปเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าประชาธิปไตยแบบอเมริกาไม่ดี แต่หมายถึง “ความเหมาะสม” แต่ละประเทศมีบริบทแตกต่างกัน ทั้งวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทุกประเทศจะต้องเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ดังที่นำเสนอแล้วว่ารูปแบบการปกครองประชาธิปไตยของสหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฯลฯ ล้วนแตกต่างกัน

ผลวิจัยของ Associated Press-NORC Center for Public Affairs Research ตอกย้ำความไม่พอใจต่อระบอบประชาธิปไตยแบบอเมริกาจากคนอเมริกันเอง ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐพยายามชูธงการปกครองของตนและชี้ว่าตนเป็นผู้นำโลกเสรี ส่งออกประชาธิปไตย

ประเด็นหนึ่งที่น่าคิดคือ ในขณะที่นักการเมืองทุกพรรคพูดสนับสนุนประชาธิปไตย ส่งเสริมให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น แต่ผลลัพธ์ออกมาตรงข้าม.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

อดีตบิ๊กข่าวกรองเตือนสติ! อย่าหลับตาพูดลืมตาดูสถานการณ์โลกด้วย

นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

อิสราเอลโจมตีกงสุลอิหร่านและการตอบโต้

ฮามาสทำศึกกับอิสราเอลได้ครึ่งปี เกิดสงครามตัวแทนระหว่างอิสราเอลกับกองกำลังที่อิหร่านสนับสนุน คราวนี้ถึงรอบอิหร่านปะทะกับอิสราเอลโดยตรงแล้ว

BRICSขยายตัวหมายถึงอะไรบ้าง

BRICS ที่ขยายตัว ชี้ว่ามีประเทศที่หันเข้าสู่ฝ่ายตรงข้ามสหรัฐมากขึ้น แต่ทั้งนี้บางประเทศเพียงอยากมีมิตรหลากหลาย ร่วมมือกับประเทศที่ไม่อยู่ขั้วสหรัฐ

ไบเดนสนับสนุนเนทันยาฮูมากแค่ไหน

ถ้าพุ่งความสนใจ สถานการณ์ล่าสุดดูเหมือนว่ารัฐบาลไบเดนขัดแย้งเนทันยาฮู แต่หากมองภาพใหญ่จะพบว่านับวันพื้นที่ปาเลสไตน์ลดน้อยลงทุกที และกำลังจะเป็นเช่นนี้อีกที่กาซา

ข้อมติให้กาซาหยุดยิงเพื่อใคร

รัฐบาลสหรัฐเสนอร่างมติให้กาซาหยุดยิง เป็นมิติใหม่ที่ใช้ UNSC กดดันอิสราเอล แต่เรื่องนี้มีความแหลมคมซ่อนอยู่ แท้จริงแล้วเป็นการช่วยอิสราเอลมากกว่า