ตัวเลขเศรษฐกิจปีหน้า ยังต้องลุ้นการแจกเงินหมื่น!

ขณะที่เรารอว่ามาตรการ “ปั๊มหัวใจ” ด้วยการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่าน digital wallet ของรัฐบาลเศรษฐานั้น การประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจจากแบงก์ชาติก็ส่งสัญญาณอะไรหลายอย่าง

คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพิ่งตัดสินใจปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 0.25% ไปที่ระดับ 2.5%

โดยประเมินว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น และอัตราโตของ GDP ปีนี้อยู่ที่ 2.8%

ขณะที่ปีหน้ามีสิทธิ์จะโตที่ 4.4% หากการกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลดั่งที่คาดหมาย

รายงานของ กนง.มองว่าเศรษฐกิจไทยในภาพรวมอยู่ในทิศทางฟื้นตัว แม้จะขยายตัวชะลอลงในปีนี้จากอุปสงค์ต่างประเทศ

อัตราการขยายตัวในปี 2567 จะเพิ่มสูงขึ้นจากทั้งอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ

อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้นในปีหน้า ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจบวกกับแรงกดดันด้านอุปทานจากปรากฏการณ์เอลนีโญประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.8 และ 4.4 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ

โดยมีแรงส่งสำคัญจากการบริโภคภาคเอกชน

สำหรับปีนี้การขยายตัวของเศรษฐกิจชะลอลงจากภาคการส่งออกสินค้าและภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด

ส่วนหนึ่งจากเศรษฐกิจจีนและวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ฟื้นตัวช้า

แต่เชื่อว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะเร่งสูงขึ้นในปี 2567 จากอุปสงค์ในประเทศ

โดยเชื่อว่าภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง และภาคการส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัว

และหวังว่าจะได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากนโยบายภาครัฐ

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มอยู่ในกรอบเป้าหมาย และคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.6 และ 2.6 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ

โดยมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำในปี 2566 จากผลของมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐและผลของฐานที่สูงในปีก่อนหน้า

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในปี 2567 โดยคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.4 และ 2.0 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ

แต่ก็ต้องติดตามความเสี่ยงด้านสูง โดยเฉพาะในปี 2567 จากแรงกดดันด้านอุปสงค์ที่อาจเพิ่มขึ้นจากนโยบายภาครัฐ

และต้นทุนราคาอาหารที่อาจปรับสูงขึ้นหากปรากฏการณ์เอลนีโญรุนแรงกว่าคาด

คณะกรรมการสนับสนุนการดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งมาตรการเฉพาะจุด...(เน้นเฉพาะจุด ไม่เหวี่ยงแห)

และแนวทางแก้ปัญหาหนี้อย่างยั่งยืนสำหรับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะมาตรการการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)

ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงขึ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับเพิ่มขึ้น และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า

ส่วนหนึ่งตามทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ประกอบกับนักลงทุนรอความชัดเจนของนโยบายภาครัฐที่อาจมีนัยต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพด้านการคลังในอนาคต

คณะกรรมการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะ ชะลอตัวลงจากประมาณการเดิมเมื่อเดือน พ.ค.2566

เพราะข้อมูลเศรษฐกิจจริงที่ออกมาในช่วงไตรมาส 2/2566 ต่ำกว่าที่คาดไว้

ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากในด้านต่างประเทศ ทั้งการส่งออกสินค้าและรายจ่ายนักท่องเที่ยวที่ต่ำกว่าที่ประเมินไว้

ขณะที่อุปสงค์ในประเทศออกมาค่อนข้างดี และดีกว่าที่คาดไว้ด้วยซ้ำ

คณะกรรมการได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 2566 และปี 2567 ใหม่ โดยคำนึงถึงมาตรการภาครัฐที่คาดว่าจะเริ่มนำมาใช้ในปีหน้าแล้ว

เช่น การแจกเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเลต การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ และมาตรการลดราคาพลังงานให้กับผู้บริโภค เป็นต้น

โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะขยายตัว 2.8% ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 3.6% ส่วนปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 4.4% จากเดิม 3.8%

กนง.ตั้งข้อสังเกตถึงความเสี่ยงด้านสูงจากแรงส่งของภาครัฐที่มีความไม่ชัดเจนอยู่บ้างเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ เช่น

จะมีรูปแบบแบบไหน ทำเมื่อไหร่ และอาจจะทำให้มีแรงส่งมากกว่าที่เราได้คาดไว้ได้

ด้านเงินเฟ้อ นอกเหนือจากแรงส่งด้านอุปสงค์ที่จะขึ้นแล้ว จะมีเรื่องซัพพลายช็อกที่ทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น

ส่วนตัวที่จะเป็นความเสี่ยงด้านต่ำ คือ เศรษฐกิจโลก และการฟื้นตัวของภาคการส่งออกสินค้าที่คาดว่าจะมีในช่วงปลายปีนี้

คณะกรรมการมองคือ ในปีหน้าเป็นต้นไปนั้น เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น

ดังนั้น การ normalization โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 0.25% จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม และเศรษฐกิจรองรับได้

ในการหารือของคณะกรรมการเองก็ได้มีการหารือถึงในเรื่องหนี้ครัวเรือน

และภาระที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทเอกชน อีกทั้งหากดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ก็จะช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาว

กนง.ยืนยันว่ากำลังจับตานโยบาย ‘แจกเงินดิจิทัล’ อย่างใกล้ชิด

นโยบายภาครัฐที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจปี 2567 คือ การแจกเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัลวอลเลต

แต่โครงการนี้ยังมีไม่มีรายละเอียดว่าจะทำในช่วงเวลาใด จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

ขนาดของการดำเนินการจะเป็นอย่างไร

แหล่งเงินที่จะนำมาใช้จะมาจากแหล่งไหน

และรูปแบบที่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร

รวมทั้งยังไม่มีความชัดเจนว่าผลของมาตรการที่กระจายไปยังเศรษฐกิจจะเป็นเท่าไหร่

โดยคาดว่าขอบเขตที่น่าจะเป็นไปได้ของมาตรการคลังในลักษณะนี้คือ การโอนเงินที่เป็น transfer ไม่ใช่การบริโภคภาครัฐในการโอนเงินให้กับประชาชน

ที่ผ่านมาตัวคูณส่วนใหญ่ (Multiplier Effect) จะอยู่ที่ 0.3-0.6 เท่า ขณะที่ทีมงานด้านนี้ของพรรคเพื่อไทยเคยคาดว่าจะสูงได้ถึง 3 เท่าตัว

ซึ่งห่างกันมากเกินกว่าจะประเมินผลที่จะได้รับจริงๆ

นี่เป็นหนึ่งในข้อมูลที่คณะกรรมการได้ลองนำมาใช้ดู ซึ่งในภาพรวมก็มีนัยพอสมควร

มาตรการนี้จะมารูปแบบไหนก็ตาม จะทำให้จีดีพีโตอย่างน้อย 4% ส่วนจะเป็น 4.4% หรือ 4.6% ต้องดูรูปแบบไปอีกระยะ

อย่าว่าแต่คนไทยทั่วประเทศเลย แม้แต่แบงก์ชาติที่ได้พูดคุยกับนายกฯ เศรษฐาและทีมงานในเรื่องนี้ก็ยังบอกว่า “กำลังรอดูอยู่”

ช่างทำให้ลุ้นกันได้ยาวจริงๆ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แชร์สนั่นโซเชียล ลุกโชนเป็นไฟลามทุ่ง! ‘อนุทิน’ บุกเพจ ‘สุทธิชัย’ แจงกรณีคุยกับ ‘ทรัมป์’

ภายหลัง เพจ Suthichai Yoon  โพสต์ข้อความว่า‘ทรัมป์‘ ให้สัมภาษณ์ Wall Street Journal ว่าเขาได้ใช้ tariff กดดันให้ไทยกับกัมพูชายุติการสู้รบ!

ประเทศเดียวในโลก ‘นายกฯทับซ้อน’ มหันตภัยปี 2568

นายสุทธิชัย หยุ่น สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์เฟซบุ๊กว่าสำนักวิจัยต่าง ๆ กำลังวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ว่าประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความท้าทายสาหัสอะไรบ้างใน

บิ๊กเซอร์ไพรส์ 'สุทธิชัย หยุ่น' เล่นซีรีส์ 'The White Lotus ซีซั่น 3'

เรียกว่าสร้างความเซอร์ไพรส์อย่างต่อเนื่อง สำหรับซีรีส์ The White Lotus ซีซั่น 3 ซึ่งจะสตรีมผ่าน Max ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2025 เพราะนอกจากจะมี ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล หรือ ลิซ่า BLACKPINK ไอดอลเกาหลีสัญชาติไทย ที่กระโดดลงมาชิมลางงานแสดงเป็นครั้งแรก ในบทของ มุก สาวพนักงานโรงแรม

ถามแสกหน้า 'ทักษิณ' จะพลิกเศรษฐกิจไทยยังไง ทุกซอกมุมในสังคมยังเต็มไปด้วยทุจริตโกงกิน

นายสุทธิชัย หยุ่น นักวิเคราะห์ข่าวและผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “เขาจะพลิกประเทศไทยให้เศรษฐกิจล้ำโลกได้หรือ