คุณทักษิณ ชินวัตร จะกลายเป็นวีรบุรุษของสังคมไทย

 

(บทความนี้เคยเผยแพร่ครั้งแรก เดือนเมษายน พ.ศ. 2555)

วันที่ 5 ธันวาคม 2548 อาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวในสื่อฉบับหนึ่งว่า หากมีการใช้อำนาจนอกระบบในการแก้ไขวิกฤติการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะนั้น ผลที่ตามมาคือ “คุณทักษิณ ชินวัตร จะกลายเป็นวีรบุรุษของสังคมไทย ถึงไม่กลายไปในบัดดลก็จะกลายไปในอนาคต”

ซึ่งอาจทำให้สังคมไทยพร้อมจะหันไปหาทางเลือกที่เป็น “แนวการบริหารที่รวบอำนาจ ไม่โปร่งใส ไร้หลักการและไม่อาจเชื่อได้ในความซื่อสัตย์สุจริต......(เหมือนสฤษดิ์ ธนะรัชต์)”

คำกล่าวของอาจารย์นิธิ อาจหมายความได้ว่า หากคุณทักษิณได้กลายเป็นวีรบุรุษทางการเมือง ได้รับความนิยมชมชื่นอย่างท่วมท้น ก็อาจจะนำไปสู่การยินยอมให้คุณทักษิณเป็นผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารโดยไม่ต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลใดๆ

จากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549  คำกล่าวของอาจารย์นิธิก็เป็นจริงขึ้นมา “ถึงไม่กลายไปในบัดดล ก็จะกลายไปในอนาคต”

ขณะนี้ (พ.ศ. 2555) คุณทักษิณได้กลายเป็นวีรบุรุษของสังคมไทยไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เป็นวีรบุรุษของประชาชนทั้งหมด แต่ก็เป็นวีรบุรุษของคนหลายสิบล้าน ซึ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะส่งผลให้พรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง

และความเป็นวีรบุรุษของคุณทักษิณที่ได้รับความนิยมชมชื่นอย่างท่วมท้น อาจารย์นิธิกล่าวต่อไปว่า “ก็อาจจะนำไปสู่การยินยอมให้คุณทักษิณเป็นผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารโดยไม่ต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลใดๆ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง (เลือกตั้ง พ.ศ. 2554)  ได้เพราะคุณทักษิณ ด้วยสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” รวมทั้งการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นคืนความยุติธรรมให้กับวีรบุรุษที่ชื่อทักษิณ แม้ว่าจะยังไม่เกิด “การยินยอมให้คุณทักษิณเป็นผู้นำที่มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารโดยไม่ต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลใดๆ” อย่างที่อาจารย์นิธิคาดการณ์ไว้

แต่การยินยอมให้พรรคเพื่อไทยครองอำนาจเด็ดขาดในการบริหารโดยไม่ต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลใดๆ ดูจะใกล้ความจริงเข้าทุกขณะ ทั้งนี้มิพักต้องคิดถึงตอนที่คุณทักษิณ วีรบุรุษตัวจริงเจ้าของพรรคเพื่อไทยกลับมามีและใช้อำนาจทางการเมืองในเมืองไทยอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา

ด้วยเหตุนี้ รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้คุณทักษิณกลายเป็นวีรบุรุษ นำมาซึ่งการเกิดขึ้นของกระแสพี่น้องเสื้อแดง ทั้งส่วนที่รักคุณทักษิณมาก่อน กับอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รัก แต่เกลียดรัฐประหารมากกว่า เมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว ระหว่างนักการเมืองฉ้อฉลแต่มาจากการเลือกตั้งกับรัฐประหาร พวกเขารับอย่างแรกได้มากกว่า เพราะรัฐประหารอาจจะนำไปสู่การทุจริตฉ้อฉลได้ไม่แพ้กัน หรือบางทีอาจมากกว่านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง

ขณะที่อีกด้าน คนส่วนหนึ่งยอมรับรัฐประหาร   ก็เพราะยอมรับการเมืองภายใต้ระบอบรัฐประหารได้มากกว่าการเมืองในระบอบทักษิณ

ในแง่หนึ่ง หากไม่มีรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เชื่อว่าคุณทักษิณคงไม่ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้

เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ความยิ่งใหญ่ของคุณทักษิณและชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่าในการเลือกตั้งหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 อาจทำให้ผู้นำการทำรัฐประหารอย่าง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ต้องหาทางให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัย จนต้องกลับลำกลายเป็นผู้นำการปรองดอง  ที่ดูจะเอื้อแก่คุณทักษิณเป็นสำคัญ คำถามก็คือ ในการทำรัฐประหารครั้งก่อนๆ ผู้นำการทำรัฐประหารต้องเผชิญกับการหาทางอยู่รอดเหมือนพลเอกสนธิหรือไม่?

พลเอกสุจินดา คราประยูร ไม่ต้องเผชิญการล้างแค้นจาก พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ แต่พลเอกสุจินดาต้องพบกับกระแสประชาชนที่ลุกฮือต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ยามเมื่อพลเอกสุจินดาเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากที่เคยยืนยันหลังทำรัฐประหารว่าจะไม่เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 หลังจากที่พลเอกสุจินดา และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่เก้า)  พลเอกสุจินดายอมลาออก เรื่องทุกอย่างก็จบลง

แต่หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549  แม้ว่าพลเอกสนธิจะไม่มีทีท่าต้องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่กระแสต่อต้านรัฐประหารอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

อีกทั้งความแตกแยกรุนแรงก็ได้ดึงเอาสถาบันสูงสุดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งภายใต้วาทกรรม ‘อำมาตย์-ไพร่’ ซึ่งฝ่ายต่อต้านอำมาตย์เป็นผู้กำชัยชนะทางการเมือง ทั้งในการเลือกตั้งและกระแสนอกการเลือกตั้ง แม้ฝ่ายพรรคเพื่อไทยจะยืนยันว่า “ไม่แก้แค้น” แต่ใครจะรับประกันได้ ไม่เหมือนสมัยเหตุการณ์พฤษภาทมิฬที่ยังมีผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเป็นเสาหลักให้ต้องเคารพเกรงใจกัน

พลเอกสนธิก็อาจไม่ต่างจาก คุณเนวิน ชิดชอบ ที่ต้องหาทางว่า ทำอย่างไรจึงจะไม่ถูกคิดบัญชี ซึ่งคุณเนวินออกมายืนยันแล้วว่าจะไม่เล่นการเมือง (อย่างน้อยก็พักใหญ่) แต่หากพลเอกสนธิเป็นตัวการแต่ผู้เดียวจริงๆ ในการทำรัฐประหารครั้งนั้น แค้นนี้สำหรับคุณทักษิณต่อพลเอกสนธิใหญ่หลวงนัก มากกว่าคุณเนวินหลายเท่า เพราะคุณทักษิณไม่มีแผ่นดินอยู่ ทรัพย์สินเงินทองถูกยึด ครอบครัวต้องพลัดพราก และเสียหน้าทางการเมืองมหาศาล โดยเฉพาะกับต่างประเทศ (ที่คุณทักษิณต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะกู้หน้าตัวเองกลับมา)

เท่าที่เคยได้ยินมา มีคนเล่าว่า คุณทักษิณมีบัญชีดำในใจอยู่ 150 รายชื่อที่ต้องคิดบัญชี (ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีชื่อคุณเนวิน) คนที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง บอกผมให้ลองทายดูว่ารายชื่อของใครอยู่ในอันดับหนึ่งของคุณทักษิณ

บางคนเอ่ยถึงบางชื่อที่ผู้เล่าบอกว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดบัญชีกับชื่อดังกล่าว แต่เอาเข้าจริง ชื่อนั้นก็ไม่ใช่อันดับหนึ่งอยู่ดี คนที่ร่วมฟังอยู่ก็ลองเดากันไปต่างๆ นานา เช่น พลตรีจำลอง ศรีเมือง สนธิ ลิ้มทองกุล พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ปรากฏว่าผิดหมด...ไม่มีใครถูก

ในที่สุด ชื่อ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก็โผล่ขึ้นมา ทั้งๆ ที่น่าจะถูกเสนอขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้ว!

แต่เชื่อหรือไม่ว่า คำตอบนี้ก็ยังไม่ถูกอีก

ในที่สุด ผู้เล่าก็ถูกขอร้องให้เฉลย…คำตอบที่ไม่มีใครเดาถูกเลยก็คือ แก้วสรร อติโพธิ????

เหตุผลก็คือ คุณทักษิณไม่เคยคาดฝันว่าหลังรัฐประหารจะเกิด คตส. ขึ้น และในช่วงที่มีการสรรหาคนมาเป็นกรรมการ คตส. ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่อาจารย์แก้วสรรจะเข้าไปเป็นกรรมการ แต่ในที่สุด ก็ได้

ลำพังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ไม่มี คตส. หรือมีอาจารย์แก้วสรรใน คตส. ย่อมทำให้คุณทักษิณกลายเป็นวีรบุรุษไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ

แต่ผลงานของอาจารย์แก้วสรรใน คตส. เท่านั้นที่ทำให้วีรบุรุษทักษิณมีภาพเป็นมหาโจรทางการเมืองในเวลาเดียวกัน

ขณะที่คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยมีอำนาจอิทธิพลทางการเมืองสูงสุดในขณะนี้ คนหนึ่งกลับลำ ส่วนอีกคนหนึ่งเดินหน้าท้าชนต่อไป 

ดังนั้น ดูมันจะไม่เป็นเรื่องง่ายนักที่จะสรุปว่า พลเอกสนธิทำรัฐประหารคนเดียว หรือมีใครอยู่เบื้องหลัง?

‘ลับ ลวง พราง’ ยังคงเป็นวลีที่ใช้ได้สำหรับพลเอกสนธิ นั่นคือ สิ่งที่คนคิดอาจจะไม่ใช่

แต่ไม่ว่าจะทำคนเดียว หรือมีใครอยู่เบื้องหลัง แต่คนที่ไม่มีใครสามารถสั่งได้คือ แก้วสรร อติโพธิ  ที่เป็น ‘Unknown Factor’ ในแผนการทำรัฐประหาร

จึงต้องติดตามดูกันต่อไป ถ้าใครบางคนตายเสียก่อนที่เราจะตาย ก็คงได้รู้ความจริงกัน...หรืออาจจะไม่รู้เลยก็ได้!

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

บี้รับผิดชอบ! นายกฯ-รมต. รู้เห็นเป็นใจ 'นักโทษ' จุ้นจ้านเมียนมา

นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า รัฐบาลเมียนมาตำหนิทักษิณทำสิ่งไม่เหมาะสม ระวังกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ส่อง“โมเดล”ดับไฟเมียนมา “ทักษิณ”พลิกธุรกิจสีเทาเข้าระบบ

ระดับแกนนำ“พรรคเพื่อไทย”ออกอาการอ้ำอึ้ง ไม่รู้ไม่เห็นกรณี “ทักษิณ ชินวัตร” ไปคุยกับชนกลุ่มน้อยเมียนมา ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์เป็นต้นมา แต่สื่อตะวันตกต่างนำเสนอข่าวอย่างครึกโครม

“อนุทิน” เซ็นประกาศคืนชายหาดเลพัง ปิดตำนานกว่า20ปี หลังกรมที่ดินต่อสู้ยืดเยื้อกับผู้บุกรุก พร้อมคืนพื้นที่สาธารณะให้ชาวภูเก็ต

เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่บริเวณชายหาดเลพัง ต.เชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เปิดกิจกรรม “มหาดไทย มอบความสุข คืนชายหาดเลพัง ให้ชาวภูเก็ต”

ไทยในสายตาต่างชาติ: สมัยรัชกาลที่เจ็ด (ตอนที่ 22: การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475)

(ต่อจากตอนที่แล้ว) ในรายงานวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) ของพันโท อองรี รูซ์ ผู้ช่วยทูตทหารบกและทหารเรือประจำสยาม ประจำสถานอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำสยาม มีความว่า

กินข้าวค้างสต๊อกกลบจำนำข้าว แผนปูทาง"ยิ่งลักษณ์"กลับไทย?

หลัง ทักษิณ ชินวัตร-หัวหน้ารัฐบาลเพื่อไทยตัวจริง ได้ออกมาระบุเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ระหว่างการกลับไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเกิดของตระกูล “ชินวัตร” ว่า สงกรานต์ปีหน้า ยิ่งลักษณ์คงได้มีโอกาสกลับมาทำบุญและเล่นสงกรานต์ที่เชียงใหม่ และไม่แน่ อาจกลับภายในปีนี้