ปัญหาเมื่อคนไทยเกิดน้อยลง

เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศข้อมูลทะเบียนราษฎร ณ สิ้นปี 66 พบว่า มีคนไทย 66,052,615 คน ลดลง 37,860 คน เทียบกับปี 65 จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าไทยกำลังเผชิญวิกฤตปัญหาประชากรคล้ายๆ กับอีกหลายประเทศซึ่งเจอภาวะแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน หรือสิงคโปร์

ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก โดยจากข้อมูลวิชาการจากคณาจารย์สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ฯ ที่ทำการศึกษาไว้เมื่อปีที่ผ่านมา มีข้อสรุปออกมาได้อย่างน่าสนใจ 4 ประเด็น คือ (1) จำนวนประชากรของประเทศไทยจะลดลงจาก 66 ล้านคนในปี ค.ศ.2023 เหลือเพียง 33 ล้านคนในปี ค.ศ.2083 (ราวๆ 60 ปีข้างหน้า)

(2) จำนวนประชากรวัยแรงงาน (ช่วงอายุ 15 ถึง 64) จะลดลงจาก 46 ล้านคนในปี ค.ศ.2023 เหลือเพียง 14 ล้านคนในปี ค.ศ.2083 (3) จำนวนประชากรวัยเด็ก (ช่วงอายุ 0 ถึง 14) จะลดลงจาก 10 ล้านคนในปี ค.ศ.2023 เหลือเพียง 1 ล้านคนในปี ค.ศ.2083 (4) ประเทศจะเต็มไปด้วยผู้สูงวัย (65+) เพิ่มขึ้นจาก 8 ล้านคนในปี ค.ศ. 2023 ไปเป็น 18 ล้านคนในปี ค.ศ.2083 โดยสัดส่วนประชากรสูงวัยจะมากกว่าร้อยละ 50 ของประชากรทั้งประเทศ

เรื่องปัญหาประชากรกำลังจะเป็นปัญหาหลักที่จะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศในหลายๆ ด้าน ยกตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อวัยหนุ่มสาวลดลง การบริโภคและกำลังซื้อก็มีแนวโน้มที่จะลดลง แถมค่าจ้างแรงงานก็อาจจะแพงขึ้น ซึ่งไม่ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ

และเมื่อวัยแรงงานมีน้อยลง กำลังการผลิตก็มีแนวโน้มจะลดน้อยลง ทำให้ธุรกิจขยายตัวได้ช้าและตลาดมีขนาดเล็กลง เศรษฐกิจจะไม่เติบโต และเมื่อมามองเรื่องการหารายได้ของรัฐ เมื่อประชากรมีจำนวนลดลง รัฐบาลก็จำเป็นต้องไปเก็บภาษีจากบริษัทและคนทำงานมากขึ้น ซึ่งก็ส่งผลต่อแรงจูงใจในการทำงานก็จะยิ่งน้อยลง

เห็นได้ชัดว่า นี่กำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลอาจจะต้องแก้ไขโดยด่วน ซึ่งที่ผ่านมาก็มีกระแสข่าวมาอย่างต่อเนื่องว่ารัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข เตรียมจะกระตุ้นให้คนไทยมีลูก ผ่านการผลักดันในหลายแนวทางที่มีการยกระดับให้เรื่องนี้กลายเป็นวาระแห่งชาติ โดยเบื้องต้นเคยมีการระบุว่ารัฐบาล โดย สธ.จะสนับสนุนให้โรงพยาบาลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งจัดตั้งคลินิกส่งเสริมการมีบุตร บริการให้คำปรึกษา วางแผนการตั้งครรภ์ วินิจฉัยและรักษาภาวะมีบุตรยาก รวมถึงพยายามออกกฎระเบียบเรื่องความสมดุลการทำงานกับการดูแลครอบครัว การแบ่งเบาค่าใช้จ่ายและภาระในการเลี้ยงดูบุตร การช่วยเหลือคนที่มีบุตรยาก รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ ในกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ กลุ่มหนุ่มโสด สาวโสดที่อยากมีบุตรแต่ไม่อยากมีคู่ ให้มีโอกาสที่จะมีบุตรได้

แน่นอนว่า ปัญหานี้ไม่สามารถจะแก้ไขได้ง่ายๆ เพราะในหลายประเทศก็มีการผลักดันมาตรการใหม่ๆ มากมาย อย่างในประเทศจีน มีการยกเลิกนโยบายที่ให้มีลูกแค่ 1 คน ซึ่งมีมากว่า 30 ปี และล่าสุดก็สนับสนุนให้มีลูกได้ถึง 3 คน รวมถึงพยายามลดภาระค่าใช้จ่ายสำหรับการมีลูก เช่น ค่าเรียนกวดวิชา หรือรัฐบาลสิงคโปร์จะมอบเงินสด 1.4 แสนบาทต่อบุตร 1 คน และจะเพิ่มเป็น 1.9 แสนบาทต่อคนสำหรับบุตรคนที่ 3 ขึ้นไป

ขณะที่ รัฐบาลเกาหลีใต้ให้โบนัสสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี เป็นเงิน 8,000 บาทต่อเดือน ให้ค่าใช้จ่ายสำหรับเตรียมคลอด 54,000 บาท รวมถึงพ่อและแม่สามารถลางานเพื่อดูแลลูกได้ 3 เดือน รวมถึงหากพ่อแม่เปิดบัญชีเพื่อลูกกับธนาคารที่กำหนด จะได้รับเงินสมทบอีกเท่าตัวจากรัฐบาล ตั้งแต่ 1.4 ถึง 4.4 แสนบาทด้วย

ด้านของญี่ปุ่นก็มีการเพิ่มสิทธิให้กับผู้หญิงในการเลี้ยงดูบุตร เพิ่มศูนย์รับเลี้ยงเด็กทั่วญี่ปุ่น เพื่อลดภาระของพ่อแม่ และส่งเสริมและผลักดันให้ผู้ชายเข้ามามีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูลูกมากขึ้น รวมถึงมีการอัดฉีดเม็ดเงินอีกมากมาย

แต่ทุกประเทศก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนประชากรได้ตามที่วางแผนเอาไว้ ซึ่งจะบอกว่านี่ถือเป็นนโยบายที่คิดง่ายแต่เกิดผลยากจริงๆ เพราะปัญหาของคนยุคนี้ที่ไม่ยอมมีบุตร เพราะด้วยเรื่องของความเครียด คุณภาพชีวิต และการค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตที่อยู่ในระดับสูง ทำให้คนไม่ยอมมีทายาทเพิ่มสูงขึ้น

ดังนั้นก็คงต้องจับตาว่านโยบายของรัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องนี้แบบไหน อย่างไร หรือจะหันไปใช้แนวทางเหมือนบางประเทศ คือเปิดรับชาวต่างด้าวที่มีศักยภาพเข้ามาเป็นแรงงานทดแทน

ทั้งหมดนี้คงต้องจับตาก้าวต่อไปของรัฐบาล ในเรื่องการผลักดันนโยบายด้านโครงสร้างประชากรต่อไป.

ลลิตเทพ ทรัพย์เมือง

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เร่งสปีดSMEไทยด้วยนวัตกรรม

เอสเอ็มอีไทยถือเป็นกำลังสำคัญของระบบเศรษฐกิจประเทศ แต่ในขณะเดียวกันกลับต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งต้นทุนที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง และข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีและองค์ความรู้ ซึ่ง กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ

ผนึกพลังพัฒนากำลังคน

ท่ามกลางแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลก เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว และการแข่งขันด้านต้นทุนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คำถามสำคัญของอุตสาหกรรมไทยไม่ใช่เพียง “จะผลิตอย่างไรให้ได้มากขึ้น” แต่คือ “จะสร้างคนและองค์ความรู้แบบใดให้ยืนระยะในเวทีสากลได้จริง”

ปีใหม่เป้าลดอุบัติเหตุ 5%

ช่วงเทศกาลปีใหม่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ประชาชนจำนวนมากออกเดินทางกลับภูมิลำเนาและท่องเที่ยว ส่งผลให้ปริมาณการใช้รถใช้ถนนเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว และมักตามมาด้วยความเสี่ยงด้านอุบัติเหตุทางถนน

เมื่อสุขภาพคือความลักชัวรีแบบใหม่

ในยุคที่ผู้คนต่างก็ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพ ทำให้เทรนด์นี้ยังคงมาแรงต่อเนื่อง ซึ่งก็มีข้อมูลที่น่าสนใจจากวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กับข้อมูลสุดอินไซต์ “ภูมิทัศน์การดูแลสุขภาพของคนไทย” รับเทรนด์เศรษฐกิจอายุยืน

องค์กรต้องกล้าเปลี่ยนผ่าน

ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและแรงกดดันด้านความยั่งยืนที่เข้มข้นขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจต้องปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ซึ่ง สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)

แรงงานคืนถิ่น:ทางเลือกที่เป็นโอกาส

‘การเคลื่อนย้ายแรงงาน’ จากภูมิลำเนาเข้าสู่จังหวัดเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานตอนต้น ซึ่งเป็นกำลังแรงงานสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา อย่างไรก็ตาม