State of the Union 2024 ไบเดนลั่นกลองหาเสียง

คำแถลงนโยบายประจำปี 2024 เหมือนการหาเสียงมากกว่า ซึ่งไม่แปลกเพราะตรงกับปีเลือกตั้ง แม้ไม่เอ่ยว่าคำว่า “ทรัมป์” แต่ผูกประเด็นเข้ากับคู่แข่งการเมืองอย่างชัดเจน

7 มีนาคม 2024 ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าว “คำแถลงนโยบายประจำปี” (State of the Union) 2024 ปีสุดท้ายของการเป็นประธานาธิบดีสมัยนี้และจะมีการเลือกช่วงปลายปี รวบรวมผลงานเด่น นำเสนอนโยบายอนาคต ส่วนใหญ่ผูกโยงเข้ากับการเมือง เห็นชัดว่ามีเป้าหมายเพื่อการเลือกตั้ง บทความนี้นำเสนอบางส่วนพร้อมวิพากษ์ ดังนี้

ประการแรก เสรีภาพประชาธิปไตยโดนโจมตี

ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวว่า ทุกวันนี้เสรีภาพกับประชาธิปไตยสหรัฐโดนเล่นงานทั้งในประเทศกับจากศัตรูต่างแดน

ภาพ: ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ใน State of the Union 2024

เครดิตภาพ: https://www.youtube.com/watch?v=7V01QvlQels

ปูตินรัสเซียบุกยูเครน ทั่วยุโรปปั่นป่วนและน่าจะทำสงครามต่อ ถ้าเรายืนเคียงข้างและให้อาวุธยูเครนจะสามารถหยุดรัสเซีย โดยไม่มีทหารอเมริกันที่นั่นและจะเป็นเช่นนี้ต่อไป แต่อดีตประธานาธิบดีคนก่อน (หมายถึงทรัมป์) กล่าวยอมให้รัสเซียทำอะไรก็ได้ตามที่ปูตินต้องการ เท่ากับยอมจำนนต่อผู้นำรัสเซีย เป็นคำพูดอันตรายและรับไม่ได้

สหรัฐเป็นชาติผู้ก่อตั้งนาโตของเหล่าประเทศประชาธิปไตยเพื่อป้องกันสงคราม รักษาสันติภาพ ในสมัยรัฐบาลนี้นาโตเข้มแข็งกว่าอดีต ฟินแลนด์กับสวีเดนร่วมเป็นสมาชิกพันธมิตรทางทหารที่เข้มแข็งที่สุดของโลก ถ้าสหรัฐเดินจาก ยูเครนจะตกอยู่ในอันตราย ตามด้วยยุโรป โลกเสรีทั้งมวล พวกต่อต้านเราจะฮึกเหิม เราจะไม่เดินจาก ไม่ยอมจำนน

จากนั้น ไบเดนกล่าวถึงประชาธิปไตยอเมริกากำลังสะเทือนจากผู้ไม่ยอมถ่ายโอนอำนาจอย่างสงบเมื่อ 6 มกราคม 2020 (หมายถึงทรัมป์กับพวกสุดโต่ง) เป็นภัยร้ายแรงต่อประชาธิปไตย เขาล้มเหลวแต่ภัยคุกคามนี้ยังอยู่ ขอให้พวกเราทั้งหลายร่วมกันปกป้องประชาธิปไตย เคารพเลือกตั้งเสรีและยุติธรรม ฟื้นฟูความเชื่อมั่นสถาบันต่างๆ ต่อต้านความรุนแรงทางการเมือง

วิพากษ์: แต่ไหนแต่ไรประธานาธิบดีโจ ไบเดน พูดเสมอว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับ MAGA Republicans (พวกที่สนับสนุนทรัมป์อย่างเข้มข้น) เป็นพวกสุดโต่ง (an extremism – ไม่ใช่พวกประชาธิปไตย) นิยมความรุนแรง จงเกลียดจงชัง สร้างความแตกแยก ไม่เคารพรัฐธรรมนูญ ไม่เชื่อหลักนิติธรรม ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง รวมความแล้วไบเดนตีตราว่าเป็นพวกกึ่งเผด็จการ (semi-fascism) คุกคามบั่นทอนประชาธิปไตย

ไบเดนพยายามชี้ว่าตน (พรรคเดโมแครต) เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ส่วนทรัมป์อยู่ฝ่ายตรงข้าม ถ้าต้องการปกป้องประชาธิปไตยขอให้เลือกพรรคเดโมแครต

ประการที่ 2 เศรษฐกิจที่คิดจากล่างขึ้นบน

ประชาชนจะเป็นผู้เสนอแนะแนวทางพัฒนา โดยรัฐจะลงทุนพัฒนาทุกด้านที่ให้ผลดีต่อทุกคน ทุกวันนี้เศรษฐกิจของเราเป็นที่ชื่นชมทั่วโลก ตัวอย่างความสำเร็จ เช่น สร้างงาน 15 ล้านตำแหน่งใน 3 ปี งานในโรงงาน 8 แสนตำแหน่ง อัตราว่างงานต่ำสุดในรอบ 50 ปี 16 ล้านคนเริ่มกิจการเล็กๆ ของตน คนเข้าถึงประกันสุขภาพมากขึ้น เงินเฟ้อลดจาก 9% เป็น 3% ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น สหภาพแรงงานเข้มแข็งอีกครั้ง ราคายาลดลงและกำลังเจรจาให้ลดลงอีก 500 รายการ ช่วยประหยัดภาษีถึง 200,000 ล้านดอลลาร์

รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือประชาชนซื้อบ้าน สร้างบ้านราคาประหยัด 2 ล้านหลังเพื่อดึงราคาบ้านกับค่าเช่าให้ต่ำลง

ส่งเสริมการศึกษาให้เป็นระบบดีที่สุดของโลก เด็กอายุ 3-4 ขวบเริ่มเข้าชั้นเตรียมอนุบาล วางหลักสูตรให้ผู้สำเร็จการศึกษามัธยมปลายได้วุฒิบัตรเพิ่ม 2-4 ใบ เพิ่มการเรียนพิเศษในภาคฤดูร้อน นักเรียนมัธยมปลายมีประสบการณ์ฝึกงานในบริษัท ค่าเทอมระดับวิทยาลัยจะลดลง รัฐบาลนี้ช่วยแก้ปัญหาหนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษาเกือบ 4 ล้านคน

ลดการขาดดุลของรัฐบาลกลางกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ และจะลดอีก 1 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า ส่งเสริมทุนนิยมแต่ต้องเสียภาษีอย่างเป็นธรรมด้วย เพื่อนำไปลงทุนพัฒนาชาติ ระบบสาธารณสุข การศึกษา การป้องกันประเทศและอื่นๆ

วิพากษ์: ไบเดนพยายามชี้ให้เห็นภาพบวกทั้งที่ไม่เป็นจริงทั้งหมด ปลายปีก่อน Moody’s Investors Service ปรับลดเครดิตเรตติ้งรัฐบาลสหรัฐจาก stable เป็น negative ด้วยเหตุผลงบประมาณอ่อนแอ ชี้ว่าต้องแก้การใช้จ่ายภาครัฐที่ก่อหนี้สูงขึ้นทุกปี ฝ่ายการเมืองต้องร่วมกันแก้ปัญหา แต่หลายทศวรรษที่ผ่านมาหนี้มีแต่จะพอกพูนและสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักงบประมาณรัฐสภาสหรัฐ (CBO) คาดทศวรรษหน้าสหรัฐจะขาดดุลหนักกว่าปัจจุบัน ทั้งยังต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราสูงขึ้น ปี 2034 จะขาดดุถึง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์เทียบกับปัจจุบันที่ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ อัตราดอกเบี้ยเป็นอีกปัจจัยทำให้ยอดหนี้โตอย่างรวดเร็ว ดอกเบี้ยที่งอกเงยขึ้นจะมากพอๆ กับงบกลาโหม ส่วนทิศทางดอกเบี้ย แม้ปีนี้น่าจะลดลงแต่อนาคตจะค่อยๆ สูงขึ้น นอกจากนี้รายจ่ายด้านประกันสังคม การดูแลสุขภาพจะเพิ่มขึ้นมากตามสัดส่วนคนสูงวัย

ด้าน Jamie Dimon จาก JPMorgan เตือนว่าวิกฤตหนี้สาธารณะน่าจะเกิดและจะระเบิดทันทีในวันที่เศรษฐกิจอเมริกาย่ำแย่ ปัญหาหนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่นับวันเสียงเตือนดังขึ้นทุกที หากไม่แก้ไขประชาชนจะเสียงาน เสียบ้าน ไม่ศรัทธาระบอบการเมืองเศรษฐกิจ

ทั้งๆ ที่รู้ปัญหาแต่ทั้งรัฐบาลจากพรรครีพับลิกันกับเดโมแครตยังก่อหนี้เพิ่ม หนี้สาธารณะกลายเป็นระเบิดเวลาที่รัฐบาลสร้างขึ้น หากวันใดระเบิดออก ประชาชนคนรากหญ้าคือผู้รับผลกระทบมากที่สุด และไม่รู้ว่าใครจะช่วยได้อีก เพราะเมื่อถึงตอนนั้นรัฐบาลยังเอาตัวไม่รอด

การที่ไบเดนพยายามพูดแต่มุมบวกจึงสร้างภาพบิดเบือนความจริง นักวิเคราะห์บางคนตีความว่าที่อเมริกาเจริญมาจากการสร้างหนี้ คำถามคือเช่นนี้ยั่งยืนแค่ไหน

ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวต่อว่า รัฐบาลชุดก่อนลดภาษีคนรวยกับบรรษัทเอกชน 2 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้รัฐบาลกลางขาดดุลเพิ่ม รัฐบาลชุดก่อนก่อหนี้แรงสุดตั้งแต่ประวัติศาสตร์ก่อตั้งประเทศ

ปี 2020 500 บริษัทใหญ่ที่สุดทำกำไร 40,000 ล้านดอลลาร์โดยไม่เสียภาษีแก่รัฐบาลกลางเลย เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ตอนนี้บริษัทเหล่านี้จะต้องเสียภาษีอย่างน้อย 15% และควรเพิ่มเป็น 21% ในอนาคต อีกตัวอย่างคือ สหรัฐมีเศรษฐีพันล้านราวพันคน โดยเฉลี่ยแล้วคนเหล่านี้เสียภาษีแก่รัฐบาลกลางเพียง 8.2% เป็นอัตราต่ำกว่าครู ภารโรงและพยาบาล รัฐบาลเสนอเก็บภาษีมหาเศรษฐีอย่างน้อย 25% จินตนาการว่าภาษีที่มากขึ้นใช้เป็นงบประมาณสำหรับดูแลเด็กนับล้าน พัฒนาพวกเขาให้มีงานทำที่ดี ช่วยให้เศรษฐกิจเจริญ หรือเป็นเงินช่วยเหลือคนที่ออกจากงานเพื่อดูแลคนป่วยที่บ้าน ผู้ดูแลคนชราที่บ้านมีรายได้จากรัฐ นี่คือนโยบายเพื่อคนสูงวัย

พวกรีพับลิกันจะตัดงบสวัสดิการสังคม ลดภาษีเศรษฐี แต่รัฐบาลชุดนี้ทำตรงข้าม

ประเด็นผู้อพยพย้ายถิ่น จะเข้มงวดความมั่นคงตามแนวชายแดน เพิ่มเจ้าหน้าที่ เพิ่มผู้พิพากษาดูแลคดีประเภทนี้โดยตรง เพิ่มเครื่องมือตรวจจับล้ำสมัย ให้ประธานาธิบดีมีอำนาจปิดพรมแดนชั่วคราวถ้าผู้อพยพเข้ามามาก ผู้อพยพย้ายถิ่นไม่ใช่ยาพิษของประเทศ รัฐบาลจะไม่แยกครอบครัวของพวกเขา ไม่กีดกันชาวต่างชาติด้วยศาสนาความเชื่อ ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งประเทศนี้ประกอบด้วยชนหลายเชื้อชาติ พวกเขาทั้งหมดคือคนอเมริกัน รัฐบาลยึดมั่นสิทธิขั้นพื้นฐาน ความเสมอภาคเท่าเทียม

วิพากษ์: ฐานเสียงของพรรคเดโมแครตคือพวกคนผิวสี ชนกลุ่มน้อย รวมทั้งคนเชื้อสายเอเชีย (พลเมืองอเมริกันเชื้อสายเอเชีย) พวกกรรมกร ในขณะที่คนผิวขาวเลือกรีพับลิกัน หลายคนนิยม White Supremacy พวกนี้สนับสนุนทรัมป์อย่างเหนียวแน่น แม้ทรัมป์ทำผิดกฎหมายหลายเรื่องที่คดีความจบแล้ว

ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ เหตุขัดแย้งเรื่องคนผิวสี เกลียดชังคนจีน ทรัมป์มักแสดงท่าทีสนับสนุนพวกผิวขาวสุดโต่งที่นิยม White Supremacy เรื่องที่คนผิวขาวบางกลุ่มเห็นว่าตนเป็นผู้ปกครองประเทศอันชอบธรรม มีอภิสิทธิ์เหนือชนกลุ่มน้อยชนเชื้อสายอื่นๆ เป็นความชอบธรรมที่คนผิวขาวใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ส่วนคนผิวสีต้องเป็นผู้รับใช้ การเหยียดผิวเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐไม่ใช่ทัศนคติส่วนบุคคลแต่เป็นโครงสร้างสังคม ยึดถือในคนกลุ่มก้อนใหญ่ คนเหล่านี้ต่อต้านความเสมอภาคเท่าเทียมแม้คนผิวสี ชนกลุ่มน้อยเป็นพลเมืองอเมริกันตามกฎหมาย

รวมความแล้วคำแถลงนโยบายประจำปี 2024 เหมือนการหาเสียงมากกว่า ซึ่งไม่แปลกเพราะตรงกับปีเลือกตั้ง แม้ไม่เอ่ยว่าคำว่า “ทรัมป์” แต่ผูกประเด็นเข้ากับคู่แข่งการเมืองอย่างชัดเจน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กระสุนนัดเดียวเปลี่ยนโลก

บรรยากาศหาเสียงตอนนี้ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นใดอีก ทรัมป์ควรชนะเลือกตั้ง กระสุนนัดเดียวชี้ขาดผลเลือกตั้ง ชี้นำโลกอนาคตควรทำตามนโยบายทรัมป์

ทำไมสมาชิกอาเซียนสนใจเข้าBRICS

ประเทศไทย มาเลเซีย และเวียดนามพยายามสัมพันธ์ดีกับมหาอำนาจทั้งหลาย ไม่อิงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจนเกินตัว มอง BRICS เป็นโอกาสใหม่

ระบบโลกที่บิดเบี้ยว (2) สงครามยูเครน

เงื่อนไขสงบศึกของปูติน การใช้ทรัพย์รัสเซียที่ยึดได้เป็นหลักฐานชี้ว่าต่างฝ่ายต่างยืนยันรบต่อ บ่งชี้ระเบียบโลกที่บิดเบี้ยว ต้องสู้กันต่อไป

ปูตินยกระดับสัมพันธ์เกาหลีเหนือ-รัสเซีย

บัดนี้เกาหลีเหนือสามารถส่งกระสุนอาวุธต่างๆ ช่วยรัสเซียทำศึกยูเครน แม้กระทั่งส่งกองทัพเกาหลีเข้ารบโดยตรง ดังที่ผู้นำเกาหลีเหนือกล่าวว่า ปูตินคือเพื่อนแท้ที่ดีที่สุด

ระเบียบโลกที่บิดเบี้ยว (1)

สัจนิยมมีข้อดีหลายอย่างแต่เปิดช่องให้รัฐบาลบางประเทศตีความว่าสามารถรุกรานประเทศอื่นๆ เป็นเรื่องปกติของโลก บางประเทศพยายามทำให้ดูดีอ้างว่าเป็นการป้องกันตนเอง