
24 มิถุนายน ครบรอบ 92 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็น 92 ปีที่คืบคลานอย่างเชื่องช้า เพราะประชาธิปไตยไทยเจออุปสรรคมากมาย ทั้งจากการปฏิบัติรัฐประหารโดยทหารบ่อยครั้ง และนักการเมืองฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างต่อเนื่องยาวนาน จวบจนปัจจุบันพูดกันติดปากว่า ประเทศไทยมีประชาธิปไตยครึ่งใบ แม้ช่วงที่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ใช่ว่าประชาธิปไตยจะเบ่งบาน นั่นเพราะพรรคการเมือง นักการเมืองยังคงแย่งชิงอำนาจ แย่งครอบครองผลประโยชน์ผ่านกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ
ขณะที่ประชาชนยังคงนิยมพรรคการเมืองที่ใช้นโยบายประชานิยม ลดแลกแจกแถม ส่วนคนรุ่นใหม่ความหวังของประเทศติดหล่มอุดมคติ
ต้องการพัฒนาประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่ละเลยรากเหง้าของตนเอง ที่สำคัญต้องการสิทธิ แต่ไม่รู้หรือไม่ทำหน้าที่ ความขัดแย้งทางการเมืองจึงแปรเปลี่ยนจากสงครามระหว่างสีเสื้อ มาเป็นคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ และความขัดแย้งนี้อาจลากยาวเลย 100 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ...๐
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา "เศรษฐา ทวีสิน" นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง เพื่อติดตามโครงการสำคัญตามนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี กลับมีเงาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรากฏอยู่เป็นฉากหลังตลอดเวลา
"...สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ซึ่งเป็นโครงการลงทุนเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ แต่ยังติดปัญหาความล่าช้าบ้าง เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน และดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น ซึ่งคาดว่าภายในปลายเดือนกรกฎาคม 2567 นี้ จะได้ข้อสรุปทั้งหมดเกี่ยวกับการเดินหน้าโครงการดังกล่าว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดการลงทุนในมาตรฐานระดับโลก และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อมให้เกิดการลงทุนต่อเนื่อง โดยขณะนี้ความคืบหน้าการลงทุนในพื้นที่อีอีซีมีภาคเอกชนได้เข้ามาหารือกับอีอีซี และสนใจใช้สิทธิประโยชน์ตามประกาศสิทธิประโยชน์ฉบับใหม่อยู่กว่า 30 ราย วงเงินลงทุนรวมกว่า 2.1 แสนล้านบาท ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ที่ได้ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่อีอีซี ได้แก่ อุตสาหกรรมการแพทย์ และสุขภาพ อุตสาหกรรมบริการ อุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุตสาหกรรม BCG โดยอีอีซีได้ตั้งเป้าหมายดึงเม็ดเงินลงทุนจริงให้ได้ปีละ 1 แสนล้านบาท ต่อเนื่อง 5 ปี ตั้งแต่ปี 2567–2571..."
คำให้สัมภาษณ์ของ "เศรษฐา ทวีสิน" ทำให้นึกถึงการทำงาน 8 ปี ของรัฐประบาลประยุทธ์ เพราะอีอีซีคือรากฐานที่รัฐบาลประยุทธ์ได้วางไว้ให้ และรัฐบาลเศรษฐาคือรัฐบาลแรกที่กำลังจะได้ประโยชน์จากอีอีซี หากรัฐบาลประยุทธ์ไม่ก่อร่างสร้างไว้ให้ รัฐบาลเศรษฐาจะเอาอะไรมาสานต่อ เพราะลำพังรัฐบาลเศรษฐาแทบไม่มีผลงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน ...๐
การเมืองสร้างภาพวันนี้ไม่มีใครเกิน "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ล่าสุดสำลัก "สว.สีส้ม" ถูกจับได้ว่า พรรคก้าวไกลสนับสนุนคนของตัวเองสมัคร สว. จนหลายคนผ่านเข้ารอบเลือกระดับประเทศ วันที่ 26 มิถุนายนนี้
"...ไม่จำเป็นที่จะต้องเติมนามสกุลให้ใครด้วยการไปป้ายสี เพราะเชื่อว่าแต่ละคนก็มีวุฒิภาวะและจุดยืนของตนเอง ซึ่งตามความหมายของตน ก็คงจะเป็นอดีตผู้สื่อข่าว นักวิชาการฝ่ายประชาธิปไตย ที่ยืนตรงในเรื่องประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีนามสกุลเป็นสีส้ม..."
คำพูดของ "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ก็แค่แก้เกี้ยว นี่คือผลพวงจากการเดินสายหาเสียงเลือก สว.ของ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ที่ กกต.บอกว่าไม่ผิด เพราะเป็นการประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้คนไปสมัคร สว. แต่วันนี้เริ่มชัดเจนแล้ว คนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกับพรรคก้าวไกล คณะก้าวหน้า กำลังจะได้เป็น สว.สีส้ม ...๐
ในมุมนักวิชาการ มองการเลือก สว.ครั้งนี้ว่า 2 พรรคใหญ่กินรวบ "โอฬาร ถิ่นบางเตียว" อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ฟันธงเกมนี้นำไปสู่เผด็จการรัฐสภา
“...นายทักษิณเขาฉลาด คือเขาเห็นแล้วว่าตอนนี้พื้นที่การเมือง ไม่ว่าอย่างไรเสีย ดูจากผลโพลต่างๆ ก่อนหน้านี้ พื้นที่ซึ่งยึดครองการเมืองคือก้าวไกลกับเพื่อไทย เพียงแต่หลายคนไปมองว่า เพื่อไทยกับก้าวไกลเวลานี้คือฝ่ายตรงข้ามกัน แต่ถามว่าในอนาคตหากก้าวไกลได้ สส.มาอันดับหนึ่งหลังเลือกตั้ง ใครจะจับมือกับก้าวไกล ถ้าไม่ใช่เพื่อไทย เพราะก้าวไกลไม่มีทางได้ สส.สามร้อยเสียงขึ้นไป และหากสองพรรคคุม สว.ได้มันก็จบ...”
หลังวันที่ 26 มิถุนายน การแยกแยะ สว.แต่ละสายจะปรากฏออกมาชัดเจน แน่นอนว่า 2 พรรคใหญ่คือก้าวไกลกับเพื่อไทย จะมี สว.อยู่ในการควบคุมจำนวนมาก มีโอกาสที่รัฐธรรมนูญจะถูกแก้ไขในหมวดสำคัญ สิ่งที่เกิดหลังจากนั้นคือความขัดแย้งรอบใหม่จะปรากฏ ทั้ง 2 สภาอาจต้องพับพาบไปพร้อมกัน ...๐
นายชื่น ประชา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
บันทึกหน้า 4
บันทึกในวันที่การเมืองเรื่องศึกเลือกตั้งใหญ่ 8 ก.พ.2569 คึกคักๆ ไม่มีการกั๊กกันอีกต่อไป ...0
บันทึกหน้า 4
ถึงคิว "พรรคส้ม" หลังประชาธิปัตย์ประเดิมเปิด 100 รายชื่อปาร์ตี้ลิสต์เป็นพรรคแรก ถึงแม้จะเป็นการเรียงตามตัวอักษร ไม่ใช่เรียงลำดับที่แท้จริงก็ตาม พอเดากันได้ว่า 3 อันดับแรก น่าจะเป็น 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
บันทึกหน้า 4
ต้องบอกว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ วันนี้ยังคงร้อนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่า หาก “ระบอบฮุน เซน” ไม่ตายจากดินแดนเขมร ก็ยากหาความสงบลงได้
บันทึกหน้า 4
ปี่กลองเลือกตั้งดังสนั่น หลังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 เป็นวันเลือกตั้ง สส. ส่วนวันที่ 27-31 ธ.ค.2568 เป็นวันรับสมัคร สส.แบ่งเขตเลือกตั้ง 28-31 ธ.ค.2568 วันรับสมัค สส.บัญชีรายชื่อ ส่วนการทำประชามติเรื่องยกเลิกMOU 43 และ MOU 44 คงไม่มีแล้ว โดย นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล
บันทึกหน้า 4
ขอเข้าโหมดเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ หลังคำสั่งยุบสภาเมื่อ 12 ธ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้สนามการเมืองที่อุ่นๆ กลายเป็นเตาแก๊สเปิดไฟแรงในพริบตา เลือกตั้งต้นปี 2569 ยังไม่ทันมาถึง แต่เกมช่วงชิงอำนาจเริ่มเดือดเกินองศา
บันทึกหน้า 4
บันทึกตอกย้ำบรรทัดแรกว่า "ไทยนี้รักสงบ!!" จากวันแรกที่มีสยามประเทศ ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศผู้รุกรานเชิงจักรวรรดินิยม ไม่เคยสร้างอาณานิคมในต่างแดน เราจะลุกขึ้นสู้เพื่อป้องกันตนเอง หรือตอบโต้ เพื่อการรักษาดินแดนของตัวเองเท่านั้น

