เปิดปีใหม่ 2022 ได้ไม่ถึงเดือน เราก็เห็นความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ, ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ในการประสานมือกันทางด้านความมั่นคงเพื่อสกัดอิทธิพลจีนอย่างเป็นระบบ
คำย่อใหม่ที่เราต้องเขียนแปะไว้ข้างฝาอีกชุดหนึ่งคือ RAA หรือ Reciprocal Access Agreement ระหว่างญี่ปุ่นกับออสเตรเลีย
เป็นการลงนามในข้อตกลงเพื่อให้ญี่ปุ่นกับออสเตรเลียเข้าถึงทรัพยากรของกันและกัน เพื่ออำนวยความสะดวกในการซ้อมรบในวันข้างหน้า
ซ้อมรบเพื่ออะไร?
ก็เพื่อที่จะระดมสรรพกำลังในภูมิภาคนี้ เพื่อสร้างสมศักยภาพทางทหาร ตั้งรับสถานการณ์ที่อ่อนไหวทางด้านความมั่นคง
ไม่ต้องแปลกใจถ้าหาก “พี่เบิ้ม” สหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวใหม่ล่าสุดนี้
วันก่อนมีการประชุมออนไลน์ของรัฐมนตรีกลาโหมและต่างประเทศของสหรัฐฯ กับญี่ปุ่นในจังหวะใกล้ๆ กัน
รัฐมนตรีคู่ขาทั้งสองฝ่ายออกข่าวแสดงความกังวลเกี่ยวกับความพยายามของจีน “ที่จะบ่อนทำลายระเบียบตามกฎ” หรือที่มักจะใช้ว่า Rules-based
วอชิงตันและโตเกียวตกลงที่จะทำงานร่วมกันเพื่อตอบสนองต่อกิจกรรมที่คุกคามความมั่นคงในย่านนี้
โดยเน้นย้ำจุดยืนที่พุ่งเป้าไปที่ปักกิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ในแถลงการณ์หลังการประชุมเสมือนจริงของรัฐมนตรีต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมของพันธมิตรทั้งสองประเทศ “แสดงความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมของจีนในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งบ่อนทำลายสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค”
ไม่ต้องสงสัยว่าทั้งอเมริกาและญี่ปุ่นต่างก็แสดงความกังวลต่อขีดความสามารถทางทหารที่เพิ่มขึ้นของจีนอย่างเห็นได้ชัด
นั่นย่อมรวมถึงคลังอาวุธนิวเคลียร์และระบบไฮเปอร์โซนิกของจีน ที่หนีไม่พ้นจะต้องกระตุ้นให้สหรัฐฯ ต้องเร่งฝีเท้าในการยกระดับอาวุธร้ายแรงของตนไม่ให้จีนล้ำหน้า
น้องรักอย่างเกาหลีเหนือก็มีร่วมสนุกด้วยการยิงทดสอบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกตัวที่สองในจังหวะเดียวกันนี้เสียด้วย
ในการประชุมระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีต่างประเทศ โยชิมาสะ ฮายาชิ และโนบุโอะ คิชิ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ทั้งสี่ยังให้คำมั่นว่าจะทำงานร่วมกันเพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากอาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียง
ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะร่วมมือ “เพื่อยับยั้ง และหากจำเป็น ตอบสนองต่อกิจกรรมที่ไม่มั่นคงในภูมิภาค” และเน้นย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน
ใช่แล้ว...ไต้หวันคือจุดเปราะบางที่สุดในเอเชียในยามนี้
นอกจากนี้ สหรัฐฯ และญี่ปุ่นยังได้จัดทำข้อตกลง 5 ปี เพื่อระดมงบทางทหารให้สูงพอที่จะต้านจีนและเกาหลีเหนือได้
ญี่ปุ่นจัดงบประมาณเฉลี่ย 211 พันล้านเยน (1.8 พันล้านดอลลาร์) ต่อปี ดูแลบุคลากรทางทหารของสหรัฐฯ ประมาณ 50,000 นายและครอบครัว
รัฐมนตรีทั้งสี่คนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการประสานงานเพื่อต่อสู้กับโควิด-19
รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลทันเหตุการณ์เกี่ยวกับเหตุฉุกเฉินทางความมั่นคงที่อาจจะเกิดขึ้น
อีกด้านหนึ่งคือการจับมือระหว่างญี่ปุ่นกับออสเตรเลีย เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางด้านทหารที่ล่าสุดมาในรูปของ RAA
อาจจะไม่ใช่แค่ “ความก้าวร้าวของจีน” เท่านั้นที่ทำให้ญี่ปุ่นและออสเตรเลียต้องขยับใกล้ชิดกันมากขึ้น
แต่ลึกๆ แล้วญี่ปุ่นเองก็คงยังกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของอเมริกาด้วย
ยุคสมัยของโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เกิดบทเรียนแก่ญี่ปุ่นว่าอย่าได้วางใจว่าอเมริกาจะเป็น “พี่ใหญ่” ที่จะคอยปกป้องตนเองเป็นอันขาด
การเมืองภายในของสหรัฐฯ สามารถปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่คาดไม่ถึงได้เสมอ
ดังนั้นถ้าทำได้ก็ควรจะต้องสร้างเครือข่ายพันธมิตรในภูมิภาคนี้เอาไว้ให้เหนียวแน่นก่อน ย่อมจะเป็นหนทางรับประกันความปลอดภัยในระยะยาวของตนเอง
ข้อตกลง RAA นี้มีเป้าหมายกระชับความสัมพันธ์ด้านความปลอดภัยที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าเดิมไปอีกขั้นหนึ่ง
RAA สร้างกรอบทางกฎหมายสำหรับกองทัพทั้งสองเพื่อดำเนินการในและรอบๆ อาณาเขตของกัน
ต้องถือว่าเป็นข้อตกลงครั้งแรกที่ญี่ปุ่นมีกับพันธมิตรอื่นที่ไม่ใช่อเมริกา
ในแง่ของออสเตรเลีย ข้อตกลงใหม่นี้มีความสำคัญในทางปฏิบัติในทันทีมากกว่า AUKUS ที่อเมริกา, อังกฤษและออสเตรเลียสร้างกลไกใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อช่วยกันสร้างกองเรือดำน้ำให้กับออสเตรเลีย
เป้าหมายก็หนีไม่พ้นการสกัดการขยายอิทธิพลของจีนอีกนั่นแหละ
ความจริงญี่ปุ่นกับออสเตรเลียมีความสัมพันธ์ทางการค้าที่ยืนยาวมาแล้ว
เมื่อเพิ่มมิติทางด้านความมั่นคงแบบทวิภาคีก็จะเกิดผลดีต่อความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ญี่ปุ่นซื้อวัตถุดิบของออสเตรเลียเป็นจำนวนไม่น้อยเป็นเวลายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นแร่เหล็กและถ่านหิน
อีกทั้งญี่ปุ่นยังเป็นแหล่งลงทุนจากต่างประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสองของออสเตรเลีย
เป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสามของออสเตรเลีย
ในทางกลับกัน ออสเตรเลียเป็นผู้ผลิตพลังงานรายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยมีถ่านหินและก๊าซเป็นแกนหลัก
ทั้งสองตั้งความหวังว่าไฮโดรเจนของออสเตรเลียจะมีบทบาทที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน
RAA จึงเป็นกลไกเสริมอีกชิ้นหนึ่งของเครือข่ายต่อต้านจีนที่อเมริกากำลังประกอบร่างในภาคพื้นนี้
เป็นอีกก้าวหนึ่งที่ต้องจับตาเพื่อประเมินว่าปักกิ่งจะตีโต้กลับมาอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไบเดนเตรียมเยือนกรุงโซล จับตา คิม จองอึน ที่เปียงยาง!
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ตั้งแต่วันนี้ถึงวันอังคารหน้า (20-24 พฤษภาคม)
คิม จองอึน : ขีปนาวุธ สู้โควิด-19 ได้ไหม?
2 ภาพ 2 ท่าของคิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือ สะท้อนถึงความย้อนแย้งที่เด่นชัดมาก
‘บอง บอง’ : คบหาจีน แต่ไม่ห่างจากอเมริกา
พอฟิลิปปินส์ได้ประธานาธิบดีคนใหม่ ทั้งจีนและสหรัฐฯ ก็แสดงความยินดีด้วยอย่างฉับพลัน
ย้อนดูอดีตที่ยุ่งยากของ รัสเซีย-ฟินแลนด์-สวีเดน
ภาพที่เห็นนี้คือประธานาธิบดี Sauli Niinisto กับนายกรัฐมนตรี Sanna Marin ของฟินแลนด์ที่ประกาศเมื่อวันอาทิตย์อย่างเป็นทางการว่าประเทศเพื่อนบ้านของรัสเซียแห่งนี้จะขอสมัครเข้าเป็นสมาชิก NATO แน่นอนแล้ว
อ่านความหมายระหว่างบรรทัด แถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมอาเซียน-สหรัฐฯ
ถ้าอ่านจากเนื้อหาของ “แถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วม” ของผู้นำอาเซียนกับสหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา
ระอุ! รัสเซียขู่จะตอบโต้ถ้า ฟินแลนด์-สวีเดนเข้า NATO
เครียดไปทั่วโลกทันที...เมื่อฟินแลนด์ประกาศว่าจะยื่นใบสมัครเป็นสมาชิก NATO “โดยไม่ชักช้า”