‘ระเบียบโลก’ หลังโควิด-19 จะพลิกโฉมไปอย่างรุนแรง

ผมอ่านหนังสือว่าด้วยผลกระทบของโรคระบาดโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจโลกหลายเล่มแล้ว แต่หนังสื่อเล่มนี้ที่มีชื่อ Aftershocks วิเคราะห์หัวข้อที่ผมสนใจมาตลอด

นั่นคือโควิดจะสร้างความเปลี่ยนแปลงใน “ระเบียบโลก” ทางการเมืองและความมั่นคงอย่างไร

หนังสือเล่มนี้วิเคราะห์ว่า วิกฤตการณ์โควิด-19 สร้าง “ความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ที่สุดต่อระเบียบโลกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2” เพราะมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตหลายล้านคน นำมาซึ่งความล้มเหลวทางเศรษฐกิจที่ถือได้ว่าเป็นครั้งที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดการณ์ว่าจะต้องใช้ความมั่งคั่งทั่วโลกมากกว่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ ในอีกหลายปีข้างหน้าเพื่อแก้ปัญหาอันหนักหนาสาหัสนี้

ผู้คนจำนวนมากจะถูกทิ้งให้ยากจนและหิวโหย รัฐที่เปราะบางจะยิ่งเจอกับวิกฤตทับซ้อนลึกเข้าไปอีก ทำให้เกิดเงื่อนไขที่สุกงอมสำหรับความขัดแย้งและการพลัดถิ่นจำนวนมหาศาล

ในขณะเดียวกัน สถาบันระหว่างประเทศและพันธมิตรที่อยู่ภายใต้ความตึงเครียดก่อนที่การระบาดใหญ่จะสั่นคลอนและที่ชัดเจนก็คือสหรัฐฯ และจีน ซึ่งอยู่ในภาวะเผชิญหน้ากันในหลายๆ มิติก่อนเกิดวิกฤตโควิดก็กำลังมุ่งไปสู่ “ภาวะสงครามเย็นครั้งใหม่”

ไม่ว่า สี จิ้นผิง จะพยายามยืนยันว่า ปักกิ่งไม่ต้องการเห็น “สงครามเย็นรอบใหม่” เพียงใดก็ตาม จีนมีความแน่วแน่ที่จะฝ่าวิกฤตโควิดและกลายเป็น “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่รับผิดชอบในระเบียบระหว่างประเทศ”

Aftershocks เป็นผลงานของ Colin Kahl และ Thomas Wright ที่พยายามเจาะลึกเข้าถึงปรากฏการณ์ระดับโลกที่กำลังถูกโควิดปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่

อะไรจะทำให้โลกหลังโควิดกลายเป็นโลกใบใหม่ที่กติกาต้องเปลี่ยนไป

ใครเป็นผู้แพ้ผู้ชนะสงครามโควิด ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกากับจีน ใครได้แสดงศักยภาพและความสามารถในการเผชิญกับภัยพิบัติสาธารณสุขครั้งใหญ่นี้มากกว่ากัน

ระบอบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตยกับระบอบคอมมิวนิสต์ของจีน ใครสามารถผ่านการทดสอบของวิกฤตระดับโลกครั้งนี้มากกว่ากัน

นี่เป็นวิกฤตครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษที่พิสูจน์ว่าโลกไม่ได้พึ่งพาเฉพาะความเป็นผู้นำของสหรัฐฯ ที่กำลังลดความสำคัญลงทุกขณะ

และวิกฤตครั้งนี้พิสูจน์ว่า เมื่อเผชิญกับวิกฤตจริงๆ ประเทศต่างๆ ก็ใช้นโยบาย “ตัวใครตัวมัน” อย่างปฏิเสธไม่ได้

ทุกประเทศต่างเอาตัวรอด ยื้อแย่งวัคซีน, ปิดพรมแดน, สกัดการเดินทางเข้า-ออกของผู้คน และทำให้ระบบ logistics หรือการเดินทางขนส่งของโลกต้องมีอันเป็นอัมพาตไปต่อหน้าต่อตา

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและนักวิเคราะห์ข่าวกรองเตือนมานานนับทศวรรษว่า การระบาดใหญ่เช่นนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ดูเหมือนจะไม่มีผู้นำการเมืองประเทศไหนยอมรับฟังหรือนำไปพิจารณาเพื่อวางยุทธศาสตร์อย่างจริงจัง

วิกฤตการณ์นี้ปะทุขึ้นท่ามกลางการก่อตัวของลัทธิชาตินิยมที่พุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว

สิ่งที่แสดงตนอย่างชัดเจนคือ

ระบอบประชาธิปไตยที่เสื่อมถอย

ความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อรัฐบาลของตนเองที่หดหาย การกบฏต่อความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากโลกาภิวัตน์ การแข่งขันด้านอำนาจของยักษ์ใหญ่ที่ฟื้นคืนชีพ และความร่วมมือระหว่างประเทศที่ตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย

แต่ก็ยังพอมีสัญญาณของความหวังบ้าง เช่น วิกฤตการณ์ COVID-19 ทำให้ผู้คนตระหนักถึงความเป็นมนุษย์และชะตากรรมร่วมกัน ประชาชนส่วนใหญ่ตอบสนองอย่างอดทนและด้วยความเอื้ออาทรต่อกัน

หนังสือเล่มนี้บอกว่าบางประเทศที่บริหารแบบประชาธิปไตย เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน เยอรมนี นิวซีแลนด์ และอื่นๆ ดำเนินนโยบายที่ได้รับการต้อนรับดีพอสมควรในบางระดับ

อเมริกาพยายามจะหลุดพ้นจากวิกฤตนี้ด้วยการแสวงหาวิธีแก้ปัญหาที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม ถูกบังคับให้ต้องคิดนอกกรอบและหาแนวทางใหม่ๆ ตลอดเวลา

แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ อเมริกาและโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

นักเขียนทั้งสองเจาะลงถึงความเปลี่ยนแปลงต่อ “ระเบียบระหว่างประเทศ” ที่มีความเปราะบางและบกพร่องอย่างลุ่มลึกในระดับหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานของประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ที่บอกเล่าเรื่องราวของวิกฤตการเมืองทั่วโลกที่กำลังดำเนินอยู่

สิ่งที่ปรากฏออกมาชัดเจนคือ

ปรากฏการณ์ที่มีความไม่แน่นอนที่จะยังดำรงอยู่ต่อไปอีกยาวนาน

สำทับด้วยความกลัว และความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมืองที่สร้างความสับสนวุ่นวายอย่างกว้างขวาง

ที่น่ากลัวคือ การปรับเปลี่ยนจากความร่วมมือพหุภาคีได้เปิดทางไปสู่ชาตินิยม ประชานิยม และการใช้อำนาจในทางผิดๆ เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการคับแคบเฉพาะหน้า

อีกด้านหนึ่ง เนื้อหาของหนังสือพยายามใช้วิกฤตเป็นเครื่องมือวินิจฉัยเพื่อหาคำตอบว่า ระเบียบโลกในยุคหลังโควิดจะพลิกผันไปอย่างรุนแรงเพียงใด

นักเขียนทั้งสองตอกย้ำว่า โควิด-โควิด-19 เป็น “ตัวเร่งปฏิกิริยา” มากกว่าการเป็น “สาเหตุ” ของการล่มสลายของระบบโลก

มองในแง่บวกวิกฤตครั้งนี้อาจจะนำไปสู่ความร่วมมือทางด้านเศรษฐศาสตร์, ความมั่นคง, สาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม

การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ กับจีนอาจทำให้เกิดการ “ผลเชิงลบ” ที่จะทำให้โลกมีเสถียรภาพน้อยลงและปลอดภัยน้อยลง

ยังไม่มีใครวาดภาพที่แม่นยำได้ว่า “ระเบียบโลกใหม่” หลังโควิดจะเป็นอย่างไร

อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วท้าทายให้ต้องเกาะติดรายละเอียดของการเมืองระหว่างประเทศจากนี้ไปทุกฝีก้าวทีเดียวครับ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มะกันทุ่ม 3.5 ล้านล้านบาท ให้ยูเครน, อิสราเอล, ไต้หวัน!

งบประมาณก้อนใหญ่ที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ อนุมัติเพื่อช่วยยูเครน, อิสราเอล และไต้หวันเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา จะช่วยลดความกังวลของยูเครนว่ากำลังจะแพ้สงครามได้หรือไม่...ยังต้องคอยดูของจริงในสมรภูมิรบต่อไป

เชื่อไหม:อิสราเอลกับ อิหร่านเคยรักกัน?

อิสราเอลกับอิหร่านเปิดศึกสงครามที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกวันนี้ มีคำถามว่าทั้ง 2 ชาตินี้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันอย่างรุนแรงเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีเหตุผลแห่งความบาดหมางกันอย่างไร

จีน-อินเดีย: 'สันติภาพร้อน' ที่ทำให้ร่วมแก้วิกฤตพม่าไม่ได้

วิกฤตพม่าทำให้ผมคิดถึงความความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอินเดียวันนี้ เพราะหากสองยักษ์แห่งเอเชียทำงานร่วมกัน ไทยก็อาจจะเป็นมือประสานให้เกิดกระบวนการเจรจาในพม่าได้

บทเรียนสีหนุวิลล์สำหรับไทย

ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของจีนกับกัมพูชามาในหลายรูปแบบ...และหนึ่งในนั้นคือการสร้างสีหนุวิลล์เป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิง หรือที่เรียกว่า Entertainment Complex