
ขอออกตัวว่า วันที่เขียนคอลัมน์นี้ ร่างกายผมไม่เต็มสมบูรณ์ครับ ขออวดว่าผมไม่ได้เป็นไข้หวัดมาเกือบ 30 กว่าปีแล้ว แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยไม่สบาย เพียงแต่ไม่ได้เป็นไข้หวัดเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อก่อนผมรู้ตัวว่า เมื่อเป็นไข้หวัดจริงจัง ผมจะมีอาการหนึ่งวันก่อน และอีกวันหนึ่งจะมีไข้ไปเลย ซึ่งหมายความว่า นอนซม ตัวร้อน น้ำมูกไหล ไอ คืออาการไข้หวัดเต็มๆ หนึ่งวัน และวันรุ่งขึ้นจะค่อยๆ หาย แต่ในตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา ผมไม่มีอาการแบบนั้นอีกเลยครับ ที่ผมมีผมว่าแย่กว่าคือ เกือบมีไข้ เกือบไม่สบาย แต่ไม่ถึง
ขั้นมีไข้และนอนซมเหมือนเมื่อก่อน สิ่งที่แย่กว่าคือ ช่วงเช้าจะรู้สึกปกติ ซ่า ไปนี่ไปโน่นได้ เพราะไม่มีอาการอะไร แต่พอตกบ่าย อาการปวดเมื่อย ปวดหัว ตัวร้อนขึ้นมานิดนึง เสียงอู้อี้ และความเหนื่อยมาทันที จนทำให้ผมโด๊ปยา นอนเร็ว แล้วพอวันรุ่งขึ้น อาการดีเหมือนเดิม ออกไปซ่าและซิ่งได้ จนตกบ่าย หายซ่าทันที เพราะอาการ “เกือบ” ไม่สบาย
ผมจะอยู่ในวังวนอย่างนี้แหละ เป็นเวลาหลายวัน แล้วผมจะรำคาญตัวเอง เพราะอย่างน้อยเมื่อก่อน เมื่อรู้ว่าไม่สบายมันเป็นแล้วหาย แต่คราวนี้ ตลอด 30 กว่าปี ผมอยู่แบบนี้ครับ แต่ผมอวดเต็มที่ว่าผมไม่ได้เป็นไข้หวัดมา 30 กว่าปี….. แต่อยู่แบบนี้…. ก็เลยไม่รู้ว่าผมจะอวดได้อีกนานแค่ไหน? ก็เลยต้องขอเขียนเรื่องซ้ำที่เคยเขียนก่อนเลือกตั้งในฟิลิปปินส์ เพื่อเป็นการทบทวนความทรงจำ และไม่ใช่อะไรหรอกครับ เวลาที่ผมเขียนวันนี้กำลังอยู่ในช่วงบ่ายที่ผมตกในวังวน เช้าอาการดี ตกบ่ายจะ "เกือบ” เป็นไข้หวัด ขอทั้งอวดและถอนหายใจครับ
สำหรับบ้านเรา เนื่องจากสัปดาห์ก่อนเราเพิ่งผ่านการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับเทศบาลเกือบทั่วประเทศ คนนอกพื้นที่เมื่อเห็นผลเลือกตั้งจะคิดในใจว่า “เลือกคนนี้ได้ไงวะ?” “ไม่มีใครดีกว่านี้หรอวะ?” แถมในข่าวก็ยังบอกว่าชาวบ้านกิน “หญ้าหวาน” อีกต่างหาก เลยเป็นการย้ำข้อคิดว่า “เลือกได้ไงวะ?”
แต่สำหรับกลุ่มเป้าหมาย การเลือกตั้งท้องถิ่น บางทีพวกเราอาจไม่ใช่ “ตลาด” หรือฐานเสียงของเขา เอาง่ายๆ ปากเกร็ดบ้านผม ตั้งแต่เลือก อบจ. จนถึงเทศบาล แถวบ้านผมไม่มีวันเห็นตัวผู้สมัคร เพราะพวกเราไม่ใช่ฐานเสียงของเขา เขาอาจจะมีป้ายติด มีรถแห่วิ่งผ่าน แต่เป็นอันเข้าใจว่า การเดินหาเสียงแถวบ้านผมไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา และเอาเข้าจริง ไม่มีประโยชน์สำหรับพวกผม ผมไม่รู้ว่าเพื่อนบ้านออกไปใช้สิทธิใช้เสียงหรือไม่ แต่ผมไป เลือกใครก็ว่ากันไปครับ เพราะรู้ว่าคนเก่าต้องชนะ ด้วยวิธีใดก็ว่ากันไป
แต่ต้องยอมรับว่าสำหรับท้องถิ่น ความคุ้นเคยของผู้สมัคร การได้เปรียบของคนที่อยู่ในตำแหน่ง มีชัยไปกว่าครึ่ง ชาวบ้านไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำไมต้องเลือกความเปลี่ยนแปลงมากกว่าคนที่คุ้นเคย และคนที่พึ่งพาได้? บางคนบอกว่าอยากมีการเปลี่ยนแปลง เบื่ออำนาจเก่าที่มีอยู่ แต่กลัวความเปลี่ยนแปลง กลัวสิ่งใหม่ๆ เพราะสิ่งที่คุ้นเคย สิ่งที่มีอยู่ ไม่ได้เสียหายอะไร (อันนี้คือสิงคโปร์แท้ๆ เอาไว้วันหลังมาคุยเรื่องนี้ครับ)
ต่อเมื่อปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น ส่วนใหญ่คนจะบอกว่า “ก็มันเป็นการเลือกตั้งท้องถิ่น เอาอะไรมากกว่านี้วะ?” ก็ถือว่าจริงส่วนหนึ่ง แต่ปรากฏว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นระดับประเทศ ทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยในบางจังหวัด แต่เกิดขึ้นในฟิลิปปินส์เกือบทั้งประเทศก็ว่าได้
ถ้าเราย้อนกลับไปยุคนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำกันได้ไหมว่า มีความพยายามผลักดันให้วุฒิสภาเป็น “สภาผัวเมีย” คือในคู่สมรสหนึ่งอาจมีคนหนึ่งเป็น สส. และเปิดโอกาสให้อีกคนเป็น สว. หรือเปิดโอกาสให้ลูกหลานลงสมัครอันใดอันหนึ่ง คือพูดง่ายๆ ให้สภาล่าง สภาบนในจังหวัดนั้นๆ เป็นธุรกิจครอบครัวไป ตอนนั้นโต้กันจะเป็นจะตาย และในที่สุดไม่ผ่าน….เราดันได้วุฒิสภาที่แย่กว่านั้นอีกต่างหาก…..(ถอนหายใจแรงๆ ครับ)
ในฟิลิปปินส์ การเลือกตั้งทุกระดับ ไม่ว่าจะสภาบน สภาล่าง สภาท้องถิ่น สภาตำบล สภาหมู่บ้าน สารพัดสภานั้น เป็นธุรกิจครอบครัวจริงๆ ดังนั้นเรื่อง “บ้านใหญ่” เป็นเครื่องจักรสำคัญในการปั้นนักการเมืองทุกระดับ อย่าหาว่าผมปากเสีย แต่ในประเทศของเขา นามสกุลและสายเลือดสำคัญกว่าความสามารถในหลายกรณี
วาระ สส.ของเขา (Congressman) คือ 3 ปีครับ และตามรัฐธรรมนูญเขา สส.เป็นได้ติดต่อกัน 3 สมัย (9 ปี) พอจะต่อสมัยที่ 4 ต้องเว้นวรรค ส่วนใหญ่ สส.เหล่านี้จะไม่วางมือทางการเมืองหรอก เขาจะให้ญาติพี่น้องลงแทนในสมัยที่ 4 และตัวเขาจะชิงตำแหน่งของญาติที่ว่าง เช่น นายกเทศบาล ผู้ว่าฯ หรืออะไรก็แล้วแต่ พอญาติที่ลงแทนชนะก็เท่ากับเป็นการรักษาเก้าอี้ เพื่อให้หมดวาระหนึ่ง และให้คนเดิมกลับมาชิงใหม่อีก 3 สมัยติดต่อกัน และตำแหน่งในพื้นที่ก็สลับกันไปอีกทีครับ
ดังนั้นในฟิลิปปินส์ “บ้านใหญ่” นำสู่ชัยชนะในการเลือกตั้งทุกระดับ เพราะบ้านใหญ่ครองอำนาจในพื้นที่ใครพื้นที่มันอย่างเหนียวแน่น และในการเมืองฟิลิปปินส์นั้น บ้านใหญ่ที่เก่าแก่ มีชื่อเสียงโด่งดังสุด คือตระกูล Marcos ที่ตอนนี้ประธานาธิบดี Ferdinand Marcos Jr. เป็นผู้นำประเทศ ซึ่งคนนี้เป็นลูกอดีตผู้นำเชิงเผด็จการ Ferdinand Marcos ที่อยู่ในตำแหน่งหลายศตวรรษ และมีประวัติความโหดเหี้ยมกับคอร์รัปชันเป็นตำนาน
แต่ Ferdinand (ผู้เป็นลูก) ไม่เหมือนพ่อเขาครับ ถ้าเอาเข้าจริง ลูกไม่ได้ครึ่งหนึ่งของพ่อ มาจากบ้านใหญ่เก่าแก่ก็จริง แต่เป็นบ้านใหญ่ที่ใหญ่เฉพาะพื้นที่ตัวเอง ไม่ใช่ระดับประเทศเหมือนเมื่อก่อน เพราะมี “บ้านใหญ่ใหม่” ที่มีอำนาจล้นฟ้า ได้ใจประชาชนจำนวนไม่น้อย และมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศ อันนั้นคือตระกูล Duterte
Rodrigo Duterte เป็นประธานาธิบดีก่อน Marcos (ผู้เป็นลูก) เป็นประธานาธิบดีที่ มีคนชื่นชอบจำนวนไม่น้อย จนทำให้สะสมบารมี สะสมคะแนนสนับสนุนไว้เยอะ ขนาด Marcos เมื่อประกาศชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ยังต้องหาพันธมิตรกับ Duterte เพราะรู้ว่าถ้าลงเองโอกาสชนะมีน้อย แต่เมื่อลงเป็นแพ็ก (Marcos กับ Duterte) ผ่านทายาท Duterte คือลูกสาวชื่อ Sara นั้น ชัยชนะมาแน่ ด้วยเป็นอันเข้าใจว่า Marcos เป็นประธานาธิบดี Sara เป็นรองประธานาธิบดี รอวันเวลา Sara เป็นประธานาธิบดีในสมัยต่อไป คือพูดง่ายๆ ครับ Marcos แค่รักษาเก้าอี้ให้ Sara
แต่ปรากฏว่าว่า เมื่อทีมนี้ชนะ Marcos ไม่ต้องพึ่งพาบุญบารมี Duterte อะไรใดๆ ทั้งสิ้น เขาชนะแล้วเนี่ย เขาเป็นประธานาธิบดีแล้ว เรื่องอะไรจะต้องรักษาเก้าอี้ให้คนจากบ้านใหม่? ดังนั้นความแตกหักเริ่มจากวันที่ทีมนี้ชนะการเลือกตั้ง ฝ่าย Marcos เบี้ยวคำสัญญา ที่มีต่อฝ่าย Duterte ว่าจะยกตำแหน่งกระทรวงกลาโหมให้ จะเอาตำแหน่งประธานกรรมาธิการดีๆ ให้กับ สส.ในมุ้ง Duterte และเอาตำแหน่งรัฐมนตรีเกรดเอให้คนของ Duterte พอหลังชนะปุ๊บ เบี้ยวหมด ถ้าพูดแบบหยาบๆ เข้าอาการ “ฟันแล้วทิ้ง” เพราะได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เมื่อได้ปุ๊บ Duterte หมดความหมาย
เลยต้องหาทุกวิถีทาง ฝังหลุมศพ Duterte (ทั้งพ่อทั้งลูก) ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการถอดถอน Sara ออกจากตำแหน่ง ผ่านการผลักดันของประธานรัฐสภา (ลูกพี่ลูกน้อง Marcos) จนเปิดทางให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC-International Criminal Court) เข้ามารับตัว Rodrigo ไปดำเนินคดีที่สำนักงานใหญ่ ICC ทั้งๆ ที่ ICC ไม่มีกำลังพอที่จะรวบใครในประเทศไหนในโลก เนื่องจากเขาไม่มีเจ้าหน้าที่ เขาต้องอาศัยความร่วมมือของผู้นำประเทศนั้นๆ ถ้าผู้นำประเทศไม่เล่นด้วย หมายจับจาก ICC เป็นเพียงอักษรบนกระดาษแผ่นหนึ่ง ไม่มีความหมายอะไร
แต่บังเอิญประธานาธิบดี Marcos เล่นด้วย เลยอำนวยความสะดวกให้ ICC เข้ามารวบตัว Duterte ตามหมายจับ ICC โดยหวังว่าจะตัดขาทั้งพ่อทั้งลูกในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ปรากฏว่าคะแนนสงสารต่อ Duterte (ทั้งพ่อทั้งลูก) มาแรงครับ และทำให้คะแนนที่ Marcos คาดหวังไม่มา
ดังนั้นบรรยากาศทางการเมืองของฟิลิปปินส์ยังมัวๆ ไม่ชัด ไม่ต่างกับช่วงก่อนเลือกตั้งด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อ Marcos และอนาคตของบ้านใหญ่…..ในอดีต
เพราะถ้าไม่สามารถกำจัด หรือจัดการ Sara ได้ ณ เวลานี้ 3 ปีที่เหลือของ Marcos จะเป็น 3 ปีที่เหมือนอยู่นรกบนดิน เพราะการทำงานเพื่อประเทศชาติ การสร้างตำนานให้กับตัวเอง จะถูกขวาง จะถูกคว่ำจากฝ่าย Duterte อย่างเต็มที่ เพื่อรอวันเวลาให้ Sara เป็นประธานาธิบดีเอง และต่อเมื่อ Sara ได้เป็นประธานาธิบดีนั้น คงเล่นงาน Marcos กับพวกพ้องเต็มที่ ประเภท….แค้นนี้ต้องชำระ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พฤษภาทมิฬ พลิกโฉมประเทศไทย
การเสียชีวิต ของ พล. อ. สุจินดา คราประยูร เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ผมต้องรำลึกประวัติศาสตร์สักนิดนึง
THAI-LAND!!! THAI-LAND!!! THAI-LAND!!!
เวลานี้ไม่ใช่เวลาอวดรู้ ไม่ว่าคุณจะชอบรัฐบาลชุดนี้ กับผู้นำคนนี้ เวลานี้ไม่ใช่เวลาสร้างความแตกแยก ไทยเรายิ่งแตกแยกกันเองเท่าไหร่ ฝ่ายตรงข้ามยิ่งได้เปรียบ
“This is CNN”
วันนี้เป็นวันครบรอบ 45 ปี ที CNN (Cable News Network) ออกอากาศครั้งแรก ผมเชื่อว่าคงไม่มีใครในโลกไม่รู้จัก CNN ถ้าถามว่าดู CNN หรือไม่ ทุกคนต้องตอบว่าดูอยู่แล้ว ถ้าคำถามคือ “เคยดู CNN ไหม?” ต้องตอบคือ “เคยอยู่แล้ว” ต้องถามว่าเวลาอยู่บ้าน ดูไหม?
คนอเมริกันควรถอนหายใจแรงๆเรื่องผู้นำของเขา
ถ้าผมเป็นคนอเมริกัน ผมไม่รู้จะทำตัวอย่างไร สำหรับคนไทย คนชื่นชอบผู้นำของเรา แค่เขาหายใจก็ยกย่องว่าเป็นเทวดามาเกิด
India+Pakistan+Kashmir เท่ากับ Never Ending Story
สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้โลกต้องจับตามองว่าการปะทะจะยกระดับเป็นการสู้รบ และจบที่สงคราม ระหว่าง 2 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ทั้งคู่หรือไม่
ELBOWS UP!!!!!!
Mark Carney จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของแคนาดา และพรรค Liberal จะได้เป็นแกนนำรัฐบาลชุดใหม่อีกต่างหาก ซึ่งเมื่อช่วงต้นปีนี้ ประโยคนี้ไม่มีทางจะพูดออกมาหรือเขียนออกมาได้