ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร???

เอาไงดี!!!...สำหรับ สัปปะรังเคยะสถาน สภาผู้แทนราษฎรแห่งปวงชนชาวไทยของหมู่เฮา ที่เอาแต่ล่มแล้ว ล่มอีก เห็นว่าล่มมาแล้วเกือบๆ 20 ครั้งเอาเลยถึงขั้นนั้น แล้วยังงี้...จะไปมีหาพระแสงด้ามยาว หาหอก หาหลาว กันไปทำไมมี แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ถ้าหากจะยุบทิ้ง ยุบขว้าง ก็ดูจะเข้ากับร่องแข้ง ร่องตีน ของฝ่ายค้านเขา ที่ต้องการให้เลือกตั้งกันใหม่โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้...

---------------------------------------------------

คืองานนี้...คงไม่น่าจะเสียเวลาไปโทษฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใด ให้ต้องเปรี้ยวมือ เปรี้ยวตีน โดยใช่เหตุ หรือคงต้อง เหมารวม ไปถึงบรรดา นักการเมือง ทั้งหลายนั่นแหละ ไม่ว่าฝ่ายไหนต่อฝ่ายไหน เพราะถ้าหาก ฝ่ายรัฐบาล ท่านขยันขันแข็งเอาจริงๆ

ฝ่ายค้าน ก็ไม่น่าจะคิดหมาก คิดเกม ที่ออกไปทาง วิตถาร ไปได้ถึงปานนั้น แต่คราวนี้ทำไงได้...ในเมื่อชาติบ้านเมือง ในเมื่อประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา หนีไม่พ้นต้องเดินไปตามเส้นทาง เดินไปตามครรลอง ประชาธิปไตย แบบบรรดาชาวโลกทั้งหลาย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ เลยคงหนีไม่พ้นต้องกลั้นใจ ทำใจ เข้าคูหากาบัตร ต้องเขย่าประชาธิปไตยในมือของท่านกันไปตามสภาพ...

---------------------------------------------------

เพราะโอกาสที่จะหวนกลับไปสู่ เผด็จการ นั้น...แม้ไม่ถึงกับยุ่งยาก ลำบากใจ อันเนื่องมาจากบรรดา นักการเมือง มากมายซักเท่าไหร่ แต่ก็อย่างว่า...เผด็จการเมืองไทย หรือเผด็จการบ้านเรานั้น ส่วนใหญ่มักหนักไปทาง เสียของ มาโดยตลอด คือแม้จะมี จังหวะ และ โอกาส ที่สวยสด งดงาม เป็นอย่างยิ่ง ในการปรับโน่น ปรับนี่ สามารถเปลี่ยน หลังตีน ให้กลายเป็น หน้ามือ ได้แบบสบายๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเผด็จการบ้านเรา ท่านผ่ากระบอกออกจากบ้องไม้ไผ่บ้องไหนต่อบ้องไหนส่วนใหญ่...เมื่อเหลามา-เหลาไป มันเลยมักดันกลายเป็น บ้องกัญชา กันแทนที่ หรือแทบไม่ได้ เป็นไปตามสัญญา แม้จะขอเวลาอีกไม่นาน หรือขอมา 7 ปี-8 ปีก็แล้วแต่...

--------------------------------------------------

อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้ วงจรอุบาทว์ มันยังคงหมุนอยู่อย่างชนิดไม่หยุด-ไม่หย่อน เมื่อไหร่ที่สภาฯ เละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก เป็นสัปปะรังเคยะสถาน การปฏิวัติ-รัฐประหาร หรือการเผด็จการ ก็เลยเป็นอะไรที่ ชอบธรรม ขึ้นมา ณ บัดนั้น แต่หลังจากเผด็จการไปได้ซักพักเล็กๆ หรือซักพักใหญ่ๆ การไม่ได้ลงมือกระทำการใดๆ ที่เหมาะ ที่ควร หรือที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ที่สร้างสรรค์ ให้เป็นเรื่อง เป็นราว หรือให้สมกับคำว่า ปฏิวัติ หรือ ปฏิรูป ก็แล้วแต่ ซึ่งถือเป็นสิ่งดีๆ ไปด้วยกันทั้งนั้น แตกต่างกันอยู่แค่ท่วงที ท่าที ว่าจะเป็นไปในแบบฉับพลัน-ทันที หรือแบบค่อยเป็น-ค่อยไปเท่านั้นเอง แต่ไม่ว่าวัติแล้ว วัติเล่า รูปแล้ว รูปเล่า สุดท้าย...มันมักออกไปทาง ปฏิเวจ ไม่ก็ ปฏิรูด รูดเข้า-รูดออกไปตาม รสนิยม ของเผด็จการในแต่ละราย หรือออกัสซั่มกันแต่ในหมู่คณะรัฐประหารเท่านั้นเอง...

----------------------------------------------------

ดังนั้น...เมื่อต้องย้อนกลับมาสู่ การเลือกตั้ง อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ มันก็เลยหนีไม่พ้นต้องเจอกับบรรดา นักการเมือง ประเภทสัปปะรังเคยะสถานทั้งหลาย ที่สามารถแลนด์สไลด์ สามารถแอฟวะลานช์ สามารถกลับเข้าสู่สภาฯ ได้ตามเดิม แบบเดิม ครั้นจะหันไปหาของแปลก ของใหม่ หรือหันไปหาประเภท คนรุ่นใหม่ เอาไป-เอามา...ก็หนักไปทาง หัวร้อน ซะเป็นหลักใหญ่ หนักไปทางแค้นจัด-กัดดะ พร้อมฝังเขี้ยวจมน่อง แบบชนิดไม่คิดจะสนใจ กาละ และ เทศะ มุ่งแต่จะพลิกฟ้า-คว่ำดินลูกเดียวเท่านั้นเอง แถมแทนที่จะพลิกจาก หลังตีน ให้กลายไปเป็น หน้ามือ กลับดันคิดจะพลิก หน้ามือ ให้กลายเป็น หลังตีน ไปซะนี่!!!

---------------------------------------------------------

อันนี้...ก็เลยยิ่งทำให้เจ็บปวด รวดร้าว หนักขึ้นไปใหญ่ คือไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ไม่รู้ว่าจะเขย่าอะไรต่อมิอะไรอีกต่อไป นอกจากต้องหันมาเขย่าตัวเอง หันมารูด หันมารูป หรือหันมาหาทางปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่ อันทำให้หนีไม่พ้นต้องหันไปหาพระ หาเจ้า โดยเฉพาะพระระดับ อภิมหาพระ อย่าง ท่านพุทธทาสภิกขุ นั่นแหละ ไม่ใช่แค่ระดับ พระสมปอง หรือ พระไพรวัลย์ ที่มีแต่ยิ่งทำให้เข้ารก-เข้าพงหนักยิ่งขึ้นไปอีก คือต้องหันไปรับฟังคำชี้แนะ ชี้นำ ที่ท่านได้เคยย้ำแล้ว ย้ำอีก ขณะยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะที่สรุปเอาไว้ว่า..."ประชาธิปไตยที่ว่าของประชาชน เพื่อประชาชน และโดยประชาชนนั้น ใช้ได้แต่เฉพาะประชาชนที่มีธรรมเท่านั้น เพราะถ้าประชาชนไม่มีธรรม มันก็ย่อมกลายเป็น...ประชาธิป-ตายเท่านั้นเอง..."

------------------------------------------------------

คือสรุปว่า...ไม่ว่าปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ไปในแบบไหนต่อแบบไหน สำคัญที่สุดก็คือต้องยึดมั่นใน ธรรม ให้มากๆ เข้าไว้ ด้วยเหตุเพราะ ธรรม...นั้นมีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ภายในตัวเอง หรือหมายถึง ความไม่เห็นแก่ตัวอยู่โดยธรรมชาติ การยึดมั่นใน ธรรม ให้เยอะๆ เข้าไว้ จึงไม่ต่างอะไรไปจากการสร้างรากฐานแห่งประชาธิปไตยที่แท้จริง เป็นจริง โดยไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพา คณะรัฐประหาร หรือแม้แต่บรรดา นักการเมือง แห่งสัปปะรังเคยะสถานใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...

---------------------------------------------------------

ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้...จาก Prabhat Ranjan Sarkar (อีกครั้ง)... “ประชาธิปไตยจะประสบผลสำเร็จ หากปัจจัยดังต่อไปนี้มีอยู่ท่ามกลางประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไม่น้อยกว่า 51 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือ...1.ความรู้หนังสือ 2.ความตื่นตัวทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม และที่สำคัญที่สุดคือ 3.ความมีศีล-มีธรรม มิฉะนั้นแล้ว...ประชาธิปไตยก็คือเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชนเท่านั้นเอง...”

-------------------------------------------------------

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ว่ากันไปเรื่อยๆ!!!

เห็นว่า...ตั้งแต่สัปดาห์หน้า วันที่ 1 มิ.ย. บรรดา ขาเฮ และ ขาหื่น ทั้งหลาย

ว่าด้วย...อนาคตของ “บิ๊กตู่”

หมู่นี้รู้สึกว่า...เสียงด่า เสียงทอ ท่านนายกฯ บิ๊กตู่ ของหมู่เฮา น่าจะซาๆ ไปพอสมควร จะด้วยเหตุเพราะใครต่อใครหันไปสนใจเรื่องอื่น