ศูนย์จีโนมฯ ชี้กลุ่ม 608 - ผู้มียีนกลายพันธุ์ จำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น

27 มิ.ย. 2565 – ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Center for Medical Genomics ว่า คำถามที่สอบถามศูนย์จีโนมฯ เกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 และไวรัสฝีดาษลิง

คำถาม-ตอบที่ 6

Q6: เราจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 อยู่อีกหรือไม่

A6: จำเป็นโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง “608” และผู้ที่มียีนกลายพันธุ์ (gene variant)

รายละเอียด

-จากข้อมูลทางคลินิกพบว่ากลุ่มเปราะบาง “608” มักมีอาการโรคโควิด-19 ที่รุนแรงมากกว่าคนทั่วไป จึงควรได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง ซึ่งบางรายอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต รวมทั้งควรได้รับยาต้านไวรัสในทันทีเมื่อติดเชื้อ ส่วนการป้องกันการติดเชื้อนั้นหน้ากากอนามัยจะให้ผลดีที่สุด

-กลุ่ม 608 ประกอบด้วยกลุ่มผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคประจำตัวในกลุ่ม 7 โรค ได้แก่ I.โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง II.โรคหัวใจและหลอดเลือด III.โรคไตวายเรื้อรัง IV.โรคหลอดเลือดสมอง V.โรคอ้วน VI.โรคมะเร็ง VII.โรคเบาหวาน VIII.และ+1 คือกลุ่มหญิงตั้งครรภ์

-จากข้อมูลทางจีโนมมนุษย์พบว่าในกรณีของผู้ที่มียีนกลายพันธุ์ (gene variant) ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ “อันดับที่สี่” – รองจาก อายุ โรคอ้วน และเพศ

ผู้ที่มียีนกลายพันธุ์ในบางตำแหน่งจะง่ายหรือมีแนวโน้ม (prone) ต่อการติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำและเมื่อติดเชื้อจะมีอาการรุนแรง และบางรายถึงขั้นเสียชีวิตทั้งที่ไม่ใช่กลุ่มเปราะบาง “608” เช่น อายุน้อยกว่า 50 ปีและไม่มีโรคประจำตัวใดๆ (susceptible to severe/ life-threatening COVID-19)

ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯร่วมมือกับกลุ่ม “นักวิจัยนานาชาติ” ที่ร่วมด้วยช่วยกันถอดรหัสพันธุกรรมจีโนมมนุษย์ของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อันประกอบด้วยโครโมโซม 23คู่ จำนวน3,000 ล้านเบส โดยมียีนทั้งหมดจำนวน 25,000 ยีนที่สร้างโปรตีน พบว่ากว่า 20 % ของผู้ที่เป็นโรคโควิด-19 ที่มีอาการปอดบวมรุนแรง ในร่างกายกลับมีการสร้าง “แอนติบอดีต่อร่างกายตนเอง (Auto-antibodies)” เข้าทำลาย “อินเตอร์เฟียรอน” และปริมาณของ Auto-antibodies จะถูกสร้างเพิ่มขึ้นตามอายุและจะพบมากในผู้มีอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ส่วนอีกประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์พบว่าเป็นผู้ติดเชื้อที่มียีนกลายพันธุ์มาแต่กำเนิด ทำให้ร่างกายสร้างอินเตอร์เฟียรอนได้เพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนปรกติ หรือไม่สร้างเลย (inborn errors of immunity) ซึ่งในทั้งสองกรณี (Auto-antibodies และ inborn errors of immunity) ส่งผลให้ร่างกายผู้ติดเชื้อผลิตอินเตอร์เฟียรอนลดลง ทำให้ไวรัสสามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีอะไรมายับยั้งก่อให้เกิดอาการติดเชื้อที่รุนแรง (ภาพ 1-2)

ตัวอย่างที่ชัดเจนของยีนมนุษย์ที่มีการกลายพันธุ์ (human genetic/genomic variation) คือ ยีนที่มีชื่อว่า “LZTFL1” ทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 มีโอกาสล้มป่วยด้วยโรคโควิด-19 เกิดอาการปอดอักเสบรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในอัตราที่สูงกว่าคนทั่วไป 2 เท่า ประชากรในยุโรบ เช่นประเทศโปแลนด์พบยีน LZTFL1 กลายพันธุ์ในประชากรถึงร้อยละ 14 ประชากรในเอเชียใต้ เช่น บังกลาเทศ มียีนกลายพันธุ์ดังกล่าวสูงถึงร้อยละ 60 ประเทศในเอเชียตะวันออก เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น หรือลงมาทางใต้เล็กน้อย เช่นที่ เวียดนาม พบยีน LZTFL1 กลายพันธุ์น้อย ในขณะที่ข้อมูลจากการถอดรหัสพันธุกรรมคนไทยสุขภาพดีกว่า 1,000 คน ที่ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯได้ดำเนินการไปแล้ว พบว่าใน “ประชากรไทยมียีน LZTFL1 อยู่บ้างร้อยละ 7” ซึ่งสอดคล้องกับอัตราการติดเชื้อรุนแรงและเสียชีวิตเนื่องจากโควิด-19 ของในแต่ละประเทศที่กล่าว (ภาพ3)

ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลอันสำคัญที่ผู้สูงวัยและผู้ที่มียีนบางตำแหน่งกลายพันธุ์ที่ควรฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเนื่องจากการฉีดวัคซีนรวมเข็มกระตุ้นที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อไม่ป่วยรุนแรงและเสียชีวิต โดยสามารถชดเชย (compensate) การกลายพันธุ์ตั้งแต่เกิดของผู้ติดเชื้อที่ส่งผลให้เกิดความบกพร่องทางภูมิคุ้มกัน (primary immunodeficiency) และการสร้าง Auto-antibodies ต่อต้านอินเตอร์เฟียรอนในผู้สูงวัยอันส่งผลให้เกิดการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างรุนแรง

หมายเหตุ เมื่อไวรัสรุกรานเข้าไปในร่างกายของผู้ติดเชื้อ “จีโนมบางส่วนของไวรัส” จะไปกระตุ้นให้เซลล์ผู้ติดเชื้อ เช่นเซลล์ปอดสร้างสารโปรตีนขึ้นมาต่อต้านในทันทีอย่างไม่จำเพาะ(ต่อต้านไวรัสทุกสายพันธุ์) ซึ่งเรียกกันว่า “อินเตอร์เฟียรอน (Interferon: IFN)” โดยมีฤทธิ์ขัดขวางการเพิ่มจำนวนของไวรัส (ภาพ 3) อินเตอร์เฟียรอนจะเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาก่อน“แอนติบอดี”เพื่อจัดการกับไวรัส ทำให้ผู้ติดเชื้อไวรัสส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีอาการไม่รุนแรง

ผู้ที่มียีนกลายพันธุ์มาแต่กำเนิดส่งผลให้ไวต่อการติดเชื้อมากกว่าคนปรกติ (inborn errors of immunity) โดยจะก่อให้เกิดอาการของโรคที่เกิดการอักเสบด้วยตัวเอง โรคภูมิแพ้ หรือโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองร่วมด้วย ปัจจุบันพบแล้ว ประมาณ 431 อาการของโรค

ในอนาคตหากมีงานวิจัยออกมายืนยันเป็นจำนวนมาก อาจมีการให้อินเตอร์เฟียรอนแก่ผู้ที่มีภาวะ “อินเตอร์เฟียรอนบกพร่อง” ก็เป็นได้

-วัคซีนเข็มกระตุ้นรุ่นใหม่ที่ผู้ที่ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอาจรอฉีด

ภูมิคุ้มกันจากวัคซีนจะคงได้ประมาณ 3-4 เดือน ส่วนภูมิคุ้มการจากการติดเชื้อตามธรรมชาติอาจคงอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน -1 ปี จากนั้นภูมิทั้งสองก็จะลดประสิทธิภาพลง ปัญหาในอีกลักษณะคือไวรัสโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 มีการกลายพันธุ์ต่างไปจากไวรัสดั้งเดิมอู่ฮั่นที่นำมาผลิตเป็นวัคซีน ร่างกายจึงสร้างแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านหรือปกป้องการติดเชื้อไม่ทันการ คาดว่าปัญหาดังกล่าวอาจถูกแก้ไขลงได้ระดับหนึ่งเมื่อมีการนำวัคซีน “bivalent vaccine” ซึ่งใช้ทั้งไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่นและโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม (B.1.1.529) เป็นต้นแบบอยู่ในเข็มกระตุ้นเข็มเดียว ข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตพบว่าสามารถกระตุ้นภูมิได้ต่อ BA.4 และ BA.5 สูงขึ้นถึง 5 เท่า ในขณะที่กระตุ้นภูมิต่อโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม (B.1.1.529) สูงถึง 8 เท่า.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'หมอยง' เตือน RSV กำลังระบาดหนัก ทิ้งท้ายปลายฤดู

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า RSV กำลังระบาดอย่างมากทิ้งท้ายปลายฤดู

ธนาคารกรุงเทพ มอบเงินบริจาค 30 ล้านบาท แก่คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี หนุนดูแลสุขภาพคนไทยอย่างยั่งยืน

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำโดย นายโชค ณ ระนอง ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการสายบัตรเครดิต (ที่ 4 จากขวา) นางสาวพจณี คงคาลัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่

'หมอยง' แจงยังไม่มีผลวิจัยเพียงพอให้ 'ผู้สูงอายุ' ฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่องวัคซีนไข้เลือดออก (ตอนที่ 5)

'หมอยง' เปิดข้อมูล 'ไข้เลือดออก' ก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีน

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่อง "วัคซีนไข้เลือดออก" โดยระบุว่า

เมืองไทยประกันชีวิต ผนึกกำลัง BDMS ส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืน เปิดตัวแคมเปญ “BDMS PREVENTIVE VACCINE” มอบสิทธิ์ฉีดวัคซีนราคาพิเศษ สำหรับลูกค้าประกันสุขภาพ

เมืองไทยประกันชีวิต ร่วมมือกับ BDMS เดินหน้าส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนให้คนไทย เปิดตัว