จับสาวใหญ่ อ้างซี้ 'บิ๊กโจ๊ก' ตบทรัพย์เหยื่อนายทุนเงินกู้นอกระบบ

29 ก.ค. 2565 – พล.ต.ต.สุรชัย สังขพัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเลย (ผบก.ภ.จว.เลย) พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 4 (ผบก.สส.ภ.4) พ.ต.อ.พงศ์ฤทธิ์ คงศิริสมบัติ รอง ผบก.สส.ภ.4 พ.ต.อ.วิโรจน์ สีน้ำเงิน รอง ผบก.สส.ภ.4 พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รอง ผบก.สส.ภ.4 พ.ต.อ.ชาญณรงค์ มากพิสุทธิ์ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.4 พ.ต.อ.ตรีกฤช จงวิไล ผกก.สภ.ปากชม ได้สั่งการเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเลย และ บก.สส.ภ.4 บูรณการสืบสวนสอบสวน ร่วมกันจับกุม นางสุภัทรา อยู่ศิริบูรณ์ อายุ 40 ปี ซึ่งแอบอ้างว่าสามารถพาประชาชนผู้เดือดร้อนไปพบ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อช่วยในการเจรจาไกล่เกลี่ยรับคืนซึ่งทรัพย์สินที่ดินจากนายทุนเงินกู้นอกระบบที่ถูกยึดไปได้

พล.ต.ต.สุรชัย เผยว่า คดีนี้สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปน.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปน.ตร. ปราบปรามนายทุนเงินกู้นอกระบบ และการกู้ยืมเงินที่ไม่เป็นธรรม รวมทั้งให้ความช่วยเหลือประชาชน เจรจาไกล่เกลี่ยรับคืนซึ่งทรัพย์สินที่ดิน อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีผู้หาผลประโยชน์ แอบอ้างว่าสามารถพาประชาชนผู้เดือดร้อนในพื้นที่จังหวัดเลย ไปพบ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เพื่อให้การช่วยเหลือได้

ต่อมา ได้มีประชาชนผู้เสียหาย 2 ราย เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.ปากชม จว.เลย แจ้งว่า เมื่อประมาณปี 2562 กลุ่มผู้เสียหาย ทราบว่าหากใครที่ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ถูกนายทุนเงินกู้นอกระบบยึดทรัพย์สินหรือที่ดินไป สามารถไปขอความช่วยเหลือจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการปราบปรามขบวนการเงินกู้นอกระบบในขณะนั้น ซึ่งตัวผู้เสียหายเองก็ได้รับความเดือดร้อนจากการที่ได้นำที่ดินไปขายฝากกับขบวนการปล่อยเงินกู้นอกระบบ จึงประสงค์ที่จะขอความช่วยเหลือจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขณะนั้นเองมีคนแนะนำให้ทราบว่า นางสุภัทรา อยู่ศิริบูรณ์ อายุ 40 ปี บ้านเลขที่ 308 หมู่ 12 ต.นาดินดำ อ.เมืองเลย จ.เลย สามารถพาไปพบ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้

ผู้เสียหายจึงติดต่อพูดคุยกับ นางสุภัทรา ซึ่งนางสุภัทรา รับปากว่าจะช่วย แต่จะต้องนำเงินมาให้ก่อนจำนวน 30,000 บาท โดยนางสุภัทรา อ้างว่า จะนำไปให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ผู้เสียหายทั้ง 2 ราย จึงยินยอมหาเงินมาให้ แต่นางสุภัทรา ก็ยังไม่สามารถพาตนไปพบ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ตามที่กล่าวอ้างได้ ทั้งหลังจากนั้นยังคงขอให้ผู้เสียหายนำเงินมาให้เพิ่มอีกหลายครั้ง รวมทั้งสิ้นแล้วทั้ง 2 ราย สูญเงินไปกว่า 1 ล้านบาท ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าถูกนางสุภัทรา หลอกลวง จึงเข้าร้องทุกข์ต่อ พนักงานสอบสวน สภ.ปากชม ดำเนินคดีกับนางสุภัทรา

จากการสืบสวน พบว่า นางสุภัทรา เคยเป็นผู้เสียหายที่ได้รับการช่วยเหลือจาก พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จนได้ทรัพย์สินที่ดินคืนจากนายทุนเงินกู้เช่นกัน แต่กลับมีพฤติการณ์ในการแอบอ้างชื่อของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไปหลอกลวงประชาชน ให้หลงเชื่อว่านางสุภัทรา สามารถพาไปพบ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ และจะได้รับการช่วยเหลือ นำเอาทรัพย์สินที่ดินคืนจากนายทุนเงินกู้นอกระบบได้ ซึ่งมีประชาชนหลงเชื่อเป็นจำนวนมาก ซึ่งขณะนี้มีประชาชนผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์แล้ว 2 ราย

เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเลย ออกหมายจับ นางสุภัทรา ในความผิดข้อหา “เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงานโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายให้กระทำหรือไม่กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ตามหมายจับศาลจังหวัดเลย ที่ 145/2565

ต่อมาในวันที่ 28 กรกฎาคม 2565 ได้จับกุมตัว นางสุภัทรา นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากชม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ จะทำการสืบสวนขยายผล ติดตามผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่ถูกนางสุภัทราหลอกลวงตามในลักษณะเดียวกันนี้ เข้ามาแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมต่อไป

ด้าน พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากพฤติการณ์ในคดีดังกล่าว เป็นอีกครั้งที่พบการกระทำผิดในกรณีที่มีการแอบอ้างชื่อตน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงผู้เสียหาย เพื่อให้หลงเชื่อว่าตัวผู้กระทำผิดสามารถช่วยเหลือในการดำเนินการตามที่ผู้เสียหายต้องการได้ ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการใดๆ ในการกระทำผิดในกรณีนี้แต่อย่างใด กรณีที่ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือกรณีถูกขบวนการปล่อยเงินกู้นอกระบบยึดทรัพย์สินและที่ดินไป สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ผ่านช่องทางสายด่วน 1599 หรือแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สถานีตำรวจทุกท้องที่ได้ทั่วประเทศ และอยากจะประชาสัมพันธ์ให้ทั้งสื่อมวลชนและประชาชนได้ทราบว่า ตนไม่มีนโยบายในการแสวงหาผลประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายด้วยวิธีใดๆ แน่นอน ซึ่งหากพบกรณีแอบอ้างอีก จะสั่งการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดทุกรายจนถึงที่สุด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'บิ๊กโจ๊ก' ลั่นกำลังใจดีอยู่แล้ว บอกให้ว่าไปตามกฎหมาย หลัง ผบ.ตร. เซ็นไล่ออก

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร. กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งไล่ออกจากราชการตามความเห็นของคณะกรรมการเสนอแนะการลงโทษ ผิดวินัยร้ายแรงเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์

'บิ๊กโจ๊ก' เคลื่อนไหว หลัง ผบ.ตร. เซ็นคำสั่งไล่ออก

ตามที่พล.ต.อ.กิติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งไล่ออกจากราชการ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.แล้ว โดยเป็นการลงนามตามมติคณะกรรมการเสนอแนะการลงโทษ ตามมาตรา 125 วรรค3 แห่ง

ผบ.ตร. เซ็นไล่ออก 'บิ๊กโจ๊ก' เผยขั้นตอนยังอุทธรณ์ ก.พ.ค.ตร.-ฟ้องศาลปค.สูงสุด

พล.ต.อ.กิติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งไล่ออกจากราชการ  พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.แล้ว  โดยเป็นการลงนามตามมติคณะกรรมการเสนอแนะการลงโทษ ตามมาตรา 125 วรรค3 แห่ง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติฯ พ.ศ.2565 ที่มี

คกก.กลั่นกรองโทษ มีมติไล่ออก 'บิ๊กโจ๊ก' ผิดวินัยร้ายแรงปมเว็บพนัน

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุด เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาโทษที่มี รอง ผบ.ตร.ทุกคนเป็นกรรมการ เพื่อพิจารณาโทษวินัยร้ายแรงของ

'โจ๊ก' ยังนิ่ง! เมินข่าวลือไล่ออก ขอรอฟังผลสอบวินัยทางการ

พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีต รอง ผบ.ตร. กล่าวผ่านทางโทรศัพท์ ว่า ขณะนี้ตังเองยังไม่ทราบเรื่องผลมติการสอบวินัยร้ายแรงกรณีที่มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีเว็บพนันออนไลน์ โ

ผบ.ตร. เผยสอบวินัยร้ายแรง 'บิ๊กโจ๊ก' เสร็จแล้ว ยันไม่ยื้อเวลาพิจารณาตามขั้นตอน

ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีครบกำหนด 270 วัน คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ว่า