ผบช.ก. นำทีมชุดคลี่คลายคดีกำนันนก แถลงคืบหน้าหลังรับโอนสำนวนจากบิ๊กโจ๊ก

“ผบช.ก.” ยันมีหลักฐานเอาผิด “กำนันนก” ไม่ด่วนสรุปแจ้งข้อหา 14 ตำรวจ ต้องตกผลึกข้อเท็จจริง-ข้อกฎหมายให้ชัดใครเขาข่ายผิด 157 รรท.ผบก.ทางหลวง วอนคนตายพูดไม่ได้ แต่พยานในที่เกิดเหตุระบุไม่ได้หนีช่วยเหลือลูกน้อง

18 ก.ย.2566 - ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รรท.ผบก.ทล. พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ. พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผบก.ปอท. พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป พ.ต.อ.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ รอง ผบก.ปปป. และเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดี พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.กก.2 บก.ทล. ถูกยิงเสียชีวิตภายในบ้านของ นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก เพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดีและวางกรอบแนวทางการทำงาน ใช้เวลานานร่วม 3 ชั่วโมง

ภายหลังพล.ต.ท.จิรภพ พร้อมคณะทำงานชุดคลี่คลายคดีก็ได้จัดแถลงชี้แจงรายละเอียดความคืบหน้าในคดีดังกล่าว หลังเกิดเหตุ ตำรวจสอบสวนกลาง ได้ร่วมกับ ทำการสืบสวนกับ ทีมชุดคลี่คลายคดีสำนักงานำตรวจแห่งชาติ และ ภูธรภาค 7 มาโดยตลอด ได้พยานหลักฐานพอที่จะทราบว่าใครทำอะไรในที่เกิดเหตุระดับหนึ่ง ปัจจุบันมีการรับโอนสำนวนคดีมาอยู่ในความรับผิดชอบแล้ว 2 คดี ประกอบด้วยคดีฆาตกรรม และ ความผิดตามมาตรา 157 ส่วนที่โอนสำนวนคดีมานั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะเกี่ยวผู้มีอิทธิพล มีความซับซ้อน และ เป็นเหตุอุกฉกรรจ์ ซึ่งเป็นหน้างานของกองปราบอยู่แล้ว ตำรวจท้องที่อาจทำงานแบบนี้ลำบาก จึงจำเป็นต้องให้ส่วนกลางทำเพื่อความโปร่งใส

ส่วนเรื่องการแจ้งข้อกล่าวหากับกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในงานเลี้ยง ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 นั้น ก่อนหน้ามีการแจ้งข้อกล่าวหากับกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ให้การช่วยเหลือผู้กระทำผิดไปแล้ว 6 นาย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการตรวจสอบให้แน่ชัด อาจต้องใช้เวลาสักระยะ แต่จะเร่งทำให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ต้องยึดหลักข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานเป็นที่ตั้ง เพราะกฎหมายมาตรา 157 มีคำนิยาม หรือ มีเจตนาพิเศษ ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องหารือกันพอสมควร ว่าพฤติกรรมแค่ไหนถึงเรียกว่าผิด 157 อาทิ บางคนอาจพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล บางคนอาจโทรแจ้ง 191 หรือบางคนอาจไม่ทำอะไรเลย ซึ่งต้องขอเวลาหารือกับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายให้ตกผลึกก่อน เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่อยากด้วนสรุป ซึ่งเมื่อใดที่ทราบข้อเท็จจริง หรือ หาข้อยุติทางกฎหมายได้แล้วจึงจะสามารถพิจารณาออกหมายจับ

“อย่างกรณีของ ผกก. รายหนึ่ง ซึ่งจังหวะแรกไม่มีการช่วย ก่อนที่จังหวะสองจะมาโผล่ที่ รพ. แต่การจะตัดสินว่าเป็นความผิดมาตรา 157 หรือไม่ ต้องขอดูละเอียดอีกให้แน่ชัดก่อน ส่วนกรณีของ ร.ต.อ.จตุรวิทย์ ชวาลเกียรติธนา รอง สวป.สภ.เมืองนครปฐม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ช่วยประครองคนเจ็บ ก่อนต่อมาจะปรากฎภาพว่าหลังเกิดเหตุได้ไปขับรถนำขบวนคุ้มกันให้กับ กำนันนก นั้น ต้องแยกเป็นสองส่วน ในส่วนช่วยก็ถือว่าดี แต่ส่วนที่ไปช่วยผู้ต้องหาก็ต้องถือว่าผิด ทั้งนี้ยืนยันไม่มีช่วยเหลือใคร ไม่ว่าจะยศใด หากผิดดำเนินการเต็มที่ไม่มีละเว้น แต่ต้องบอกก่อนว่าการทำงานของเราอาจไม่ทันใจผู้ชม เพราะอยากตรวจสอบให้ครบทุกด้านทุกมิติ

ส่วนเรื่องกล้องวงจรปิดพื้นที่เกิดเหตุ มีทั้งหมด 15 ตัว พร้อมเซิร์ฟเวอร์ 1 ตัว เสีย 2 ตัว และ อีกตัวหนึ่งเป็นกล้องตรงจุดเกิดเหตุ หยุดบันทึกไปตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 10.00 น. ก่อนจะเกิดเหตุ ซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบให้แน่ขัดว่าเกิดจากสาเหตุใด ส่วนกล้องที่เหลือทั้งหมดตนได้ดูบางส่วนบ้างแล้ว แต่เนื่องจากรายละเอียดมีค่อนข้างเยอะมาก จึงต้องขอเวลาในการพิจารณาอย่างละเอียดให้ครบทั้งหมดก่อน

“ถึงแม้ว่าจะไม่มีภาพเหตุการณ์บันทึกภาพขณะเกิดเหตุได้ ก็ไม่ได้หนักใจแต่อย่างใด เพราะมีพยานหลักฐานอื่นๆ เช่นคำให้การ พยานบุคคล พยานแวดล้อม มูลเหตุจูงใจ และอื่นๆอีกมากมาย เพียงพอที่จะดำเนินคดีกำนันนกให้ถึงที่สุดได้ ส่วนข้อสงสัยที่กระแสสังคมเชื่อว่ามีการเตรียมการลวงผู้ตายมาก่อเหตุนั้น จากข้อมูลหลักฐานที่มีอยู่เชื่อว่าไม่น่าเป็นไปได้”

ผบช.ก. กล่าวต่ออีกว่า ส่วนแนวทางการดำเนินการต่อจากนี้ เบื้องต้นวางกรอบการทำงานออกเป็น 3 สเต๊ป คือ 1.การขยายผลแก๊งคนร้าย เส้นทางการเงิน ข้อมูลออนไลน์ และสิ่งผิดกฎหมาย 2. ดูเรื่องการฮั้วประมูล เพื่อพิสูจน์ทราบให้ได้ว่าเพราะเหตุใดทำไมกำนันนก ถึงชนะการประมูลได้รับงานโครงการต่างๆจำนวนมาก ซึ่งในส่วนนี้เราพบความผิดปกติหลายอย่าง อาทิ ชนะการประมูลงานมากกว่าร้อยละ 80 และ อื่นๆอีกมากมาย และ 3. เร่งปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งเราจะไม่ใช่แค่ระดมกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมายแล้วเลิก แต่จะต้องตัดวงจรทั้งเครือข่าย ยึดทรัพย์ ซึ่งเป็นแนวทางที่กองปราบทำมาโดยตลอด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการประสานงานร่วมกับทาง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ กรมสอบสวนคดีพิเศษในคดีนี้ด้วยหรือไม่นั้น พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ยินดี และพร้อมที่จะประสานงานร่วมกัน อย่างที่บอกพร้อมน่วมมือกับทุกหน่วยงาน ขอให้ยึดข้อเท็จจริงตรงไปตรงมาเป็นหลัก ดำเนินการเป็นไปในสิ่งที่ควรจะเป็นก็พอ

ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า สำหรับเรื่องการพิจารณาความผิด มาตรา 157 ในส่วนนี้ต้องให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย เน้นที่ข้อเท็จจริง ซึ่งต้องมาไล่ตามไทม์ไลน์ทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง จึงจะเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เช่นในกรณีของ ผกก.เบิ้ม นั้น อยากวิงวอนในส่วนนี้ว่า คนที่เสียชีวิตไปแล้ว ไม่สามารถออกมาพูดชี้แจงอะไรได้ แต่จากการที่ได้พูดคุยกับพยานกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในเหตุการณ์หลายๆคน เชื่อว่า ผกก.เบิ้ม ไม่ได้หนีไปไหน และ ยังเป็นคนที่เข้าไปช่วยประครอง พ.ต.ต.ศิวกร ในช่วงแรก ก่อนที่ จะมีกลุ่มลูกน้องเข้ามาช่วยประครองต่อ ก่อนที่ตัวเองจะช่วยพา พ.ต.ท.วศิน ไปที่ รพ. ตนไม่ได้แก้ตัวให้ ผกก.เบิ้ม แต่สิ่งที่ตนเห็นแขนของ ผกก.เบิ้ม ยังมีคราบเลือดคนตายและคนเจ็บติดอยู่ที่แขน

“ส่วนเรื่องส่วยรถบรรทุก ยืนยันว่ายังคงกวาดล้างต่อเนื่อง จนลดน้อยลง หากพบเจออีกก็จะเร่งจับกุมให้หมดไป” รรท.ผบก.ทล. กล่าวทิ้งท้าย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ เผย ก.ตร. มีมติส่งคำร้อง 'บิ๊กโจ๊ก' ให้ฝ่ายวินัยพิจารณาอีกรอบ ปมสั่งช่วยราชการ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ครั้งที่ 3/2567 ว่า วันนี้วาระสำคัญของการประชุมนอกจากแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ยังมีเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร้องขอความเป็นธรรมทั้งหมด ทั้งที่มีต่อตนในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธาน ก.ตร.

คกก.สอบ 2 บิ๊กตำรวจ ยอมรับเชิญ 'บิ๊กต่อ' ให้ถ้อยคำแล้ว นัดแถลงทุกประเด็นสัปดาห์หน้า

พล.ต.อ.วินัย ทองสอง หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

'บิ๊กต่าย' แจงตั้ง 'สราวุฒิ' ใกล้เกษียณสอบวินัย 'โจ๊ก' หากไม่ทันเตรียมใช้แผนสอง

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีที่จะมีการประชุมข้าราชการตำรวจช่วงบ่ายวันนี้ ว่า จะมีการนำประเด็นเรื่องร้องเรียนของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล

ชุดสอบ 'โจ๊ก' กับพวกผิดวินัยร้ายแรง-ออกจากราชการไว้ก่อน ยืนยันไม่มีใครชี้นำได้

พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. พร้อมพวกรวม 5 คน ทำผิดวินัยร้ายแรงจนถูกออกจากราชการไว้ก่อน