
หลังเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ถึงปัจจุบันผ่านมาแล้ว 2 สัปดาห์ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังวางใจไม่ได้ ซึ่งยอดผู้ติดเชื้อรายวันยังอยู่ที่หลัก 6,000-8,000 รายต่อวัน ทำให้ขณะนี้ไทยมียอดผู้ติดเชื้อสะสมถึง 2 ล้านรายแล้ว
แต่ทั้งนี้รัฐบาลโดยการนำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ตั้งเป้าฟื้นเศรษฐกิจ โดยการดึงเม็ดเงินจากภาคการท่องเที่ยวพร้อมทยอยออกมาตรการและผ่อนคลายกิจการและกิจกรรมเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์
ซึ่งล่าสุดที่ประชุม ศบค.เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ได้ปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร ปรับลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเหลือ 6 จังหวัด จากเดิม 7 จังหวัด คือ ตาก นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา โดย จ.จันทบุรี ปรับเป็นจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด ขณะที่พื้นที่ควบคุมสูงสุด 39 จังหวัด พื้นที่ควบคุม 23 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังสูง 5 จังหวัด และพื้นที่สีฟ้านำร่องการท่องเที่ยว 4 จังหวัด
ส่วนสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ อีกแหล่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สำคัญที่จะเปิดแน่ๆ แต่ต้องเฝ้าระวัง เพราะเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่ระบาดได้ง่าย เพราะเรื่องระบบระบายอากาศ ความแออัดและการควบคุมที่ต้องเข้มข้นมาก จึงให้ใช้เวลาถึงวันที่ 15 มกราคม 2565 ให้ผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม และให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขจัดทำมาตรการป้องกันควบคุมโรค และการปรับปรุงระบบระบายอากาศ
ขณะที่ผู้ประกอบการให้ดำเนินการปรับปรุงระบบระบายอากาศของตัวเองให้ได้มาตรฐาน รวมถึงให้พนักงานได้รับวัคซีนทุกคน พร้อมให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครตั้งทีมประเมิน หากทำได้ตามมาตรฐาน จะให้เปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม 2565 เฉพาะพื้นที่สีเหลืองและพื้นที่สีฟ้าเท่านั้น
นอกจากนี้ยังเร่งระดมฉีดวัคซีน จากเดิมตั้งเป้า 100 ล้านโดสในสิ้นปี แต่คาดว่าจะสามารถฉีดได้เร็วขึ้นภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้
ขณะที่ยอดการเดินทางเข้าประเทศ มีสายการบินแจ้งเส้นทางบินเข้าประเทศไทยมากขึ้น และมีแนวโน้มนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยมากขึ้นด้วย ในขณะนี้มีผู้ยื่นขอลงทะเบียน Thailand Pass ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน จำนวน 147,503 ราย อนุมัติแล้ว 92,920 ราย
แต่อย่างไรก็ตาม การผลักดันการฟื้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ท่ามกลางการจับตาของภาคการเมือง ที่มองถึงผลกระทบจากการเปิดประเทศ และมาตรการขั้นตอนต่างๆ ที่รัฐบาลทำออกมายังไม่มีความชัดเจน ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศน้อยกว่าที่ควร
จนมีการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง ขอให้สภาร่วมกันพิจารณาถึงผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจเกี่ยวกับการเปิดประเทศ ทั้งนี้ ยังมี ส.ส.ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลร่วมกันเสนอญัตติด่วนด้วยเช่นกัน จำนวน 8 ญัตติ เพื่อส่งให้รัฐบาลด้วย
อย่างไรก็ตาม การเดินหน้าไม่ถอยครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยอมรับความเสี่ยงและแรงเสียดทานต่อเนื่อง เพื่อแลกกับเม็ดเงินที่จะเข้าประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ ซึ่งจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง และถือเป็นอีกห้วงเวลาสำคัญชี้ชะตาประเทศได้เลยว่า ยอดผู้ติดเชื้อจะกลับมาพุ่งขึ้นอีกครั้งหรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


