
1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ ประเทศไทย ได้ร่วมกับ “รุ้ง”-ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล แกนนำราษฎร นำ 28,426 รายชื่อ ที่ร่วมเรียกร้องผ่าน Change.org ส่งไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ทางการไทยยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชน ก่อนที่ “รุ้ง” จะกลับเข้าห้องขัง เพราะศาลไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวในคดี ม.112 เนื่องจากกระทำผิดซ้ำ
จากนั้นไม่นาน เว็บไซต์ Amnesty International Thailand โพสต์ให้คนทั่วโลกเข้ามาลงชื่อเพื่อช่วย “รุ้ง”-ปนัสยา ตามโครงการ “เขียน เปลี่ยน โลก” แคมเปญรณรงค์สิทธิมนุษยชนประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในปีนี้กรณีของ “รุ้ง” ได้ส่งถึงผู้สนับสนุนของแอมเนสตี้ทั่วโลกให้ช่วยกันส่งข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลไทย เพื่อให้ยุติการดำเนินคดีและข้อกล่าวหาทั้งหมด และปล่อยตัวให้เป็นอิสระ
จึงไม่แปลกถ้าจะมีปฏิกิริยาจากกลุ่มพสกนิกรปกป้องสถาบันและเครือข่ายปกป้องสถาบัน 6 องค์กร ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ ผ่าน แรมโบ้-เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล ขอให้รัฐบาลดำเนินการตรวจสอบ "แอมเนสตี้” เพราะมีพฤติกรรมการกระทำเข้าข่ายกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีเครือข่ายเสื้อแดงฝ่ายรัฐเคลื่อนไหวในต่างจังหวัดคู่ขนานไปด้วยในวันเดียวกัน
ตามด้วยท่าทีของ แรมโบ้ ที่เปิดหน้า “รุก-รบ” ประกาศแคมเปญลงชื่อขับไล่แอมเนสตี้ 1 ล้านชื่อ และจะดำเนินการตามกฎหมายกลุ่มคนที่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายของไทย โดยจะต้องเอาเข้าคุกเข้าตะราง หรือไล่ออกนอกประเทศให้ได้
ดูเหมือนแรงสะท้อนกลับจากกลุ่มเคลื่อนไหวฝ่ายรัฐไปยัง “แอมเนสตี้” ในครั้งนี้หนักหน่วง และหวังผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมากว่าทุกครั้ง
ส่งผลให้เพจที่ใช้ชื่อว่า Amnasty ต้องนำเสนอชุดข้อมูลเรื่อง 6 ความจริงที่คุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ครอบคลุมทั้งเรื่องการก่อตั้ง แหล่งรายได้ในการทำกิจกรรม และบทบาทขององค์กร ที่ไม่ได้อยู่ใต้ “เงา” สหรัฐ
มีการวิเคราะห์ว่า แอมเนสตี้ ไทยแลนด์ การช่วยเหลือแกนนำสามนิ้ว โดยใช้สูตร โลกล้อมไทย ในช่วงจังหวะนี้ น่าจะมีสหรัฐเป็นตัวช่วยเพิ่มพลังการเคลื่อนไหวให้มากขึ้น
เพราะขณะนี้การเดินเกมของสหรัฐเพื่อหว่านล้อมไทยให้ยืนอยู่ข้างตนเองเริ่มปรากฏชัดขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในประเด็นความขัดแย้งของภูมิภาค ทั้งปมทะเลจีนใต้-สถานการณ์ในเมียนมา กำลังเข้มข้น และไทยก็มีบทบาทสำคัญในการเป็นแกนหลักอาเซียนในการรักษาดุลยภาพของภูมิภาคนี้
จึงเริ่มมีปรากฏการณ์น่าสนใจ ทั้งการเดินทางมาเยือนของ รอง ผอ.ซีไอเอ ของสหรัฐ ที่เหมือนจะเป็นวาระปกติเมื่อรัฐบาลไบเดนเข้ามาบริหารประเทศ แต่ติดช่วงโควิด-19 จึงเลื่อนเดินทางมาช่วงนี้เมื่อไทยคลายล็อก-เปิดประเทศ แต่การหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลที่กว้างๆ ย่อมซ่อนไปด้วยนัยเจตนาระหว่างบรรทัด ในเรื่องความร่วมมือด้านต่างๆ
หรือกรณีที่ฝ่ายบริหารของรัฐบาล ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกาเชิญ 110 ประเทศและดินแดน เข้าร่วมการประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย (Summit for Democracy) ทางออนไลน์ที่สหรัฐจัดขึ้นเป็นครั้งแรก วันที่ 9-10 ธ.ค.2564 เพื่อช่วยหยุดยั้งการเสื่อมถอยทางประชาธิปไตย และการพังทลายของสิทธิและเสรีภาพทั่วโลก ในรายชื่อของประเทศผู้ได้รับเชิญโดยกระทรวงต่างประเทศ ไม่มีมหาอำนาจอย่างจีนและรัสเซีย ที่สำคัญไม่มีชื่อของประเทศไทย
ปรากฏการณ์ดังกล่าวคงทำได้แค่เป็นการ ประจาน ไทย แต่คงไม่มีผลให้ไทย เลือกข้าง หรือไม่ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง เฉกเช่นที่สหรัฐหรือจีนก็เลือกผลประโยชน์ของชาติตนเป็นที่ตั้งเช่นกัน
สอดคล้องกับที่นักวิชาการหลายคนมองว่า สถานการณ์การขยายอิทธิพลของจีน-สหรัฐ เปรียบเหมือน หมากล้อม ที่แต่ละฝ่ายจะวางหมากของตัวเองล้อมพื้นที่ในกระดานให้มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายล้อมพื้นที่ตัวเองได้เช่นกัน จึงต่างฝ่ายต่างต้องใช้กลยุทธ์ที่แยบยล สร้างความได้เปรียบเพื่อครองพื้นที่ให้มากที่สุด
จีนเริ่มสร้างการครอบครองพื้นที่ในทะเลจีนใต้ ลงหลักปักฐานสร้างเกาะเทียม ตั้งฐานทัพ วางกำลังทหาร ออกกฎต่างๆ ในการเอื้อต่อการคุ้มครองพื้นที่นั้นๆ นอกจากนั้นยังขยายอิทธิพล สร้างท่าเรือ ฐานทัพ ในพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ในแอฟริกา จนมีการประเมินว่าจีนสามารถวางหมากล้อมได้เกินกว่าครึ่งกระดานแล้ว ควบคู่ไปกับให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ ให้กับประเทศกำลังพัฒนา
สหรัฐกำลังเร่งสปีดในการวาง หมากล้อม เพิ่มมากขึ้น หรือ หาพวก จากพันธมิตรเก่า เพิ่มพันธมิตรใหม่ เพื่อต่อสู้ในเกมนี้ที่กำลังเข้มข้นมากขึ้นทุกวัน ภายใต้เครื่องมือของ “ไบเดน” จากพรรคเดโมแครค ที่ยึดแนวทางเรื่อง ประชาธิปไตย-สิทธิมนุษยชน เป็นนโยบายหลัก
องค์กรที่ขับเคลื่อนในประเด็นดังกล่าวทั่วโลกจึงเริ่มขยับตัว เดินเครื่อง และกำหนดประเด็นในการกดดันรัฐบาลประเทศของตน โดยมีทิศทางของรัฐบาลสหรัฐในปัจจุบันเป็นแรงเสริม
ปรากฏการณ์ที่ แอมเนสตี้ไทย เรียกร้องให้ปล่อยนักกิจกรรมทางการเมืองที่แม้จะมีเจตนาช่วยเยาวชนที่มีอุดมการณ์ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกี่ยวพันกับเรื่องที่ไกลไปกว่า ความยุติธรรม-เสรีภาพ ของบุคคล
เมื่อมหาอำนาจที่กำลังเล่น “หมากล้อม” ดึงเบี้ยมาอยู่ในมือให้มากที่สุด.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”
ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’
1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร
เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ
ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า
ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง
บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย
‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’
‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

