ผุดขั้วใหม่ก้าวข้ามความขัดแย้ง 'พปชร.-ภท.'สลัดดีล'พท.-รทสช.'

เป้าหมายแลนด์สไลด์ใหม่ของของพรรคเพื่อไทย (พท.) ภายใต้ระบอบทักษิณจาก 250 เสียงเป็น 310 เสียง หลังเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. 400 เขต ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เท่ากับว่าประกาศสงครามกับทุกพรรค เพื่อเข้าสู่อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ ท่ามกลางข้อห่วงใหญ่ว่าจะเกิดเผด็จการรัฐสภานำมาซึ่งความขัดแย้งอีกครั้ง

แม้ล่าสุด กระชาก “บ้านใหญ่สามมิตร” นำโดยสองรัฐมนตรี คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จากอก "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

แต่ก็ยากจะทำให้เชื่อว่าตัวเลข 310 เสียงของพรรคเพื่อไทยจะเป็นไปได้ นอกจากเป็นการสร้างความเชื่อ หลอกต้มตุ๋นพวกเดียวกันเอง

แม้แต่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคทั้งสองคน คือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายเศรษฐา ทวีสิน รวมถึงนายทุนผู้สนับสนุน เพื่อเป้าหมายให้นายใหญ่กลับบ้าน

สะท้อนได้จากนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. พลิกบทเป็นวิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน ออกมาวิเคราะห์ กระทั่งสื่อมวลชนนำไปโปรยหัวข่าวว่า   

"จตุพร" อ่านกระดานการเมือง “เพื่อไทย" อาการน่าเป็นห่วง ตั้งเป้ากวาด ส.ส.จาก 250 เผลอแป๊บเดียวพุ่ง 310 เสียง ถามเอามาจากไหน อธิบายแบบวิทยาศาสตร์หาความจริงไม่ได้ ยิ่งจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไสยศาสตร์ก็อธิบายไม่ได้ ซัดตรรกะย้อนแย้ง ประณามเผด็จการโหวตประยุทธ์เป็นนายกฯ พอกลับพรรคเพื่อไทยกลายเป็นนักประชาธิปไตยโดยฉับพลัน

นอกจากจะไม่ได้ตามเป้า พรรคเพื่อไทยยังสยบข่าวดีลลับระหว่างบ้านป่ารอยต่อฯ กับดูไบ ที่คาดว่าจะจับมือตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง และยอมให้ "บิ๊กป้อม" เป็นนายกฯ คนที่ 30 อีกด้วย เพราะฝ่ายนายใหญ่มองว่ากระแสดังกล่าวไม่เป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทย 

อีกทั้งยังต้องระวังคู่แข่งหมายเลขหนึ่ง คือ พรรคก้าวไกล ที่จ้องฉวยโอกาสตีกันและขโมยฐานเสียงฝั่งเสรีนิยม กับการกล้าประกาศแตกหักกับพรรคการเมืองที่ผ่านการสืบทอดอำนาจ หรือพรรคทหารอีกด้วย  

จึงส่งผลให้ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ประสานเสียงแลนด์สไลด์ 310 เสียง และไม่จับมือกับ พปชร.ที่มี "บิ๊กป้อม" เป็นหัวหน้าพรรค

มีคนออกมาตั้งข้อสังเกต หลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพรรคนั้นพรรคนี้ ยืนยันหลังการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจะไม่จับมือกับลุงป้อม (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ) พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ถ้าเราได้ 310 เสียง จะได้นายกฯ จากประชาชน และเราจะได้ผลักดันนโยบายที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้” นพ.ชลน่านกล่าว

การประกาศออกมาเช่นนี้มีหรือ “พี่ใหญ่” จะยอมเสียเชิงทางการเมือง ในขณะที่ พปชร.ไม่ได้มีดีแค่ ส.ส.บ้านใหญ่ จุดเด่นที่เหนือใคร สามารถจับมือกับทุกพรรคการเมืองได้ทุกพรรค ด้วยคอนเนกชันใต้ดิน บนดิน แบบ 360 องศา

เช่นเดียวกับค่ายสีน้ำเงิน หรือพรรคภูมิใจไทย ที่สถานการณ์การเมืองไม่เอื้ออำนวย ถูกไล่บี้ไล่ทุบจากคนในพรรคร่วมรัฐบาล โดยมีการโยงไปที่เครือข่ายพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เพื่อต้องการทอนกำลังทางการเมืองให้ลดลง

จึงเป็นที่มาของเปิดดีลขั้วใหม่ พร้อมภาพสุดชื่นมื่นที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรค พร้อมด้วยนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.จ.อุทัยธานี ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ร่วมรับประทานอาหารกับ พล.อ.ประวิตร 

“พล.อ.ประวิตร” กล่าวว่า ทานข้าวพูดคุยกันปกติ ไม่ได้คุยเรื่องการเมือง ส่วนที่กินข้าวกับนายอนุทิน เมื่อกินข้าวด้วยกันก็เป็นพวกเดียวกันอยู่แล้ว

ขณะที่ “เสี่ยหนู” บอกว่า ตนพร้อมคณะได้เข้าพบ พล.อ.ประวิตร และร่วมพูดคุยถึงสถานการณ์การเมือง แลกเปลี่ยนความพร้อมของทั้งสองพรรคในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง 

ซึ่ง พล.อ.ประวิตรก็สอบถามถึงการประเมินตัวเลข ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ตนก็แจ้งว่าน่าจะได้ประมาณ 70 คน ซึ่งท่านก็เห็นว่าตรงกับผลโพลที่ออกมา พร้อมปฏิเสธพูดคุยถึงการจับขั้วการเมืองใหม่ เพราะปัจจุบันทั้งพรรคภูมิใจไทยกับพรรคพลังประชารัฐเป็นขั้วเดียวกัน คือขั้วรัฐบาลอยู่แล้ว  

แม้แกนนำทั้ง 2 จะออกมาปฏิเสธเรื่องดีลขั้วการเมืองใหม่ แต่นัยทางการเมืองที่นักวิเคราะห์ทางการเมืองมองตรงกันคือ สร้างขั้วใหม่ เพิ่มอำนาจต่อรองทางการเมือง และที่สำคัญส่งสัญญาณไปถึงพรรคเพื่อไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า “ไม่ใช่ของตาย”

หลังก่อนหน้านี้ พรรคพลังประชารัฐถูกพรรคเพื่อไทยหยามเกียรติทางการเมืองดังที่กล่าวมา และยังถูก รทสช.ดูด ส.ส.ไปจำนวนมากอีกด้วย พร้อมถูกบลัฟผลงานและนโยบายหาเสียงตกไปเป็นของ "บิ๊กตู่" ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน หลังพรรคพลังประชารัฐเสนอ 700 บาท แต่ถูกพรรครวมไทยสร้างชาติปาดหน้าเป็น 1,000 บาท เป็นต้น 

ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ก่อนหน้านี้ซัดเกาเหลากับพรรคประชาธิปปัตย์ (ปชป.) ในการแย่ง ส.ส.พื้นที่ภาคใต้ และถูกขวางนโยบายกัญชา    

ยังโดนนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ถูกมองว่ารับงาน มาดิสเครดิตตัดแต้มคะแนนนิยมทางการเมือง พร้อมด้วยมีกระแสข่าวว่า พรรครวมไทยสร้างชาติแอบให้ท้ายมาโจมตีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และนโยบายกัญชาอีกด้วย

หลังจาก "เสธ.หิ" หรือนายหิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงาน รทสช. และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกฯ และหัวหน้าพรรค รทสช. เปิดทำเนียบรัฐบาลให้การต้อนรับจอมแฉ ซึ่งไม่แน่ใจ "บิ๊กตู่" จะรู้เห็นเป็นใจหรือไม่ แม้คนในพรรครวมไทยสร้างชาติจะออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวของนายชูวิทย์  

ล่าสุด พรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย ร่วมกันเสนอเรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มให้ ครม.เห็นชอบเมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะเป็นการประชุม ครม.อำนาจเต็มครั้งสุดท้าย ก็ถูกคนของพรรคร่วมรัฐบาล อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา โดยเฉพาะจากพรรครวมไทยสร้างชาติ นำโดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน และนายธนกร วังบุญคงชนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ สายตรง "บิ๊กตู่" คัดค้าน  

กระทั่งนายกฯ สั่งให้ถอนวาระจรออกไป พร้อมปลุกกระแสว่าฝ่ายตัวเองเป็นฮีโร่ และโยนบาปให้อีกฝ่าย ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่สองพรรคที่เสนอเรื่องนี้

ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น พรรคพลังประชารัฐ และพรรคภูมิใจไทย จึงถูกมองว่าเพลี่ยงพล้ำ กระแสตกเป็นรอง  

จึงแก้เกมการเมืองด้วยภาพมื้ออาหารที่บ้านป่ารอยต่อฯ ท่ามกลางการวิเคราะห์กันว่า คือ ขั้วใหม่ทางการเมือง เพื่อเป็นทางออกของประเทศ

โดยเฉพาะสองพรรคนี้ชูธงเรื่อง ไร้ความขัดแย้ง มาก่อนหน้านี้ เช่น “บิ๊กป้อม” ที่ประกาศเป็นพรรคก้าวข้ามความขัดแย้ง หรือ “อนุทิน” โพลต่างๆ ก็เคยยกให้เป็นผู้นำเหนือความขัดแย้งมาแล้ว เหนือผู้นำคนอื่นๆ ในหน้ากระดานทางการเมือง   

ที่มาพร้อมด้วยตัวเลขสมการการเมือง หลังเลือกตั้งที่พรรคพลังประชารัฐจะได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 50-60 เสียง และพรรคภูมิใจไทยอยู่ระหว่าง 70-80 เสียง หากรวมกัน 120-140 เสียง โดยมี ส.ว.สายบิ๊กป้อมพร้อมหนุน ที่มั่นใจว่าหากขั้วใหม่นี้เกิดขึ้นจะแข็งแกร่ง สามารถกำหนดให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เป็นรัฐบาล หรือเลือกใครเป็นนายกฯ ได้เช่นกัน

เนื่องจากหากหันไปประเมินทางฝั่งพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล หรือพรรคร่วมรัฐบาล อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยากจะจับมือร่วมกันเป็นรัฐบาลตรงๆ ได้ เนื่องจากเป็นคู่ขัดแย้งและห้ำหั่นทางการเมือง และอุดมการณ์ที่แตกต่างอย่างสุดขั้ว  

โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ภายใต้ระบอบทักษิณ และพรรคก้าวไกล ที่เป้าหมายการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่สามารถทำงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี “บิ๊กตู่” เป็นแคนดิเดตนายกฯ

เว้นแต่จะต้องมีพรรคการเมืองที่พร้อมเป็นโซ่ข้อกลาง และถือเป็นข้อได้เปรียบทางการเมืองเข้ามาเป็นสะพานเชื่อมด้วยจำนวนเสียงที่เพียงพอเพื่อให้รัฐบาลใหม่เกิดขึ้น  

ดังนั้น นายกฯ จะเป็นหน้าใหม่หรือหน้าเก่า หรือพรรคใดจะตกขบวนการอำนาจ หรือขั้วไหนจะกำหนดเกม สุดท้ายตัวเลข ส.ส.หลังเลือกตั้งจะเป็นตัวกำหนด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง