การตรวจเลือกทหารประจำปีนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ชูนโยบายยกเลิกการเกณฑ์ทหารอยู่หลายพรรค โดยมีข้อเสนอในรายละเอียดที่แตกต่างกันไป จากข้อมูลในเว็บไซต์คมชัดลึก เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้สรุปข้อมูลว่า
พรรคเพื่อไทย เสนอยกเลิกการบังคับเกณฑ์ให้เป็นไปโดยสมัครใจทันที โดยการเปิดกว้างให้การสมัครทหารออนไลน์และไม่กำหนดเป้าหมายการรับ และปรับลดงบประมาณกลาโหมลง 10% เพื่อนำไปใช้ตั้งกองทุนสนับสนุนธุรกิจคนรุ่นใหม่ เพื่อให้งบประมาณที่ใช้เหมาะสมสอดคล้องกับความเป็นจริง
พรรคไทยสร้างไทย สนับสนุนให้ยกเลิกการจับใบดำใบแดง เพื่อเปลี่ยนให้เป็นระบบสมัครใจ โดยทุกเหล่าทัพมีทหารเกณฑ์รวมกันประมาณ 100,000 คน ในจำนวนนี้อาสาเข้ามาเป็นทหารประมาณ 5 หมื่นคน และจับได้ใบแดงอีก 5 หมื่นคน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าความต้องการจริง จึงเห็นภาพพลทหารไปรับใช้ตามบ้านผู้บังคับบัญชา ซึ่งใช้งานผิดประเภท และเกินความจำเป็น
พรรคก้าวไกล เสนอยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ให้ใช้ระบบสมัครใจร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยประกาศว่า เดือน เม.ย.นี้จะมีการเกณฑ์ทหารครั้งสุดท้าย เพราะนโยบายของพรรคทำให้เกิดผลการปฏิบัติได้ด้วยการแก้ไขกฎหมาย
โดยมีผู้สมัครและแกนนำพรรคไปรณรงค์ทำกิจกรรมถึงหน่วยตรวจเลือก ตอกย้ำเป็นนโยบายลำดับต้นๆ ที่พรรคได้ปักธงในเรื่องนี้ และหากย้อนกลับไปดูข้อมูลในเว็บไซต์ของ Moveforwardparty ซึ่งเขียนโดย เดชรัตน์ สุขกำเนิด เมื่อเดือน มิ.ย.2565 ได้ไล่เรียงกรอบงบประมาณรายจ่ายบุคลากรของกระทรวงกลาโหมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแนวทางหนึ่งที่สามารถลดกำลังพลและลดรายจ่ายบุคลากรลงคือ การลดจำนวนทหารเกณฑ์ลง เพราะปัจจุบันประเทศไทยมีการเกณฑ์ทหารปีละประมาณ 100,000 คน (ล่าสุดในปี 2564 มีการเกณฑ์ทหาร 97,558 คน/ปี) ขณะเดียวกัน ข้อมูลทหารกองประจำการ (หรือทหารเกณฑ์) ทั้งหมดในปี 2563 คือ 134,618 คน
ทั้งนี้ พบว่า เมื่อทหารเกณฑ์แต่ละคนเริ่มเข้ารับราชการจะได้รับค่าตอบแทน 9,904 บาท/เดือน แบ่งเป็นเงินเดือน 1,630 บาท, เงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวคนละ 5,394 บาท และเบี้ยเลี้ยงวันละ 96 บาท (2,880 บาท/เดือน) ทั้งนี้ ไม่รวมถึงทหารเกณฑ์ในหน่วยที่ปฏิบัติงานราชการสนามตามแนวชายแดน เช่น ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะได้รับเงินเพิ่มเติม ประกอบด้วย เบี้ยเลี้ยงสนามวันละ 104 บาท/คน (เดือนละ 3,120 บาท) ค่าเลี้ยงดูวันละ 6 บาท/คน ซึ่งเป็นส่วนเพิ่มของเบี้ยเลี้ยง (เดือนละ 180 บาท) เบี้ยเสี่ยงภัยเดือนละ 2,500 บาท
โดยบทความดังกล่าว ใช้การคำนวณโดยการนำตัวเลขขั้นต่ำ 9,904 บาท/เดือน มาคูณกับ 134,618 คน ทำให้สรุปว่างบประมาณที่ต้องใช้สำหรับทหารกองประจำการสูงถึง 16,000 ล้านบาท/ปี (โดยยังไม่มีข้อมูลจากกองทัพมาเทียบเคียง)
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เคยให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ว่า แนวทางยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหารได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากชายไทยที่ครบเกณฑ์เข้ารับการตรวจเลือก เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ต้องการเสียโอกาสในการทำงาน การสร้างรายได้ และการดูแลครอบครัว
เขาเชื่อว่าในความเป็นจริง ตัวเลขทหารเกณฑ์ที่เหมาะสมกับไทยเมื่อเทียบจากประเทศที่ขนาดใกล้เคียงกัน และดูจากภารกิจและภัยคุกคามที่มีอยู่จริง น่าจะมีทหารกองประจำการแค่ 5 หมื่น ถ้ามีคนสมัครเข้ามาเป็นไม่ครบก็ให้เลื่อนปลดในผัดที่ประจำการออกไปก่อน ซึ่งเชื่อว่าสามารถทำได้จริง โดยต้องแก้ไขกฎหมายที่สามารถทำได้เลยใน 1 ปี และงบประมาณก้อนนี้จะใช้ในการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนในรูปของโครงการรัฐสวัสดิการต่างๆ ตอบโจทย์นโยบายของพรรคที่ป่าวประกาศว่า มีที่มาเงินจริงที่จะนำไปใช้ ไม่ใช่การขายฝัน
ก่อนหน้านี้ “กระทรวงกลาโหม” เคยชี้แจงถึงเหตุผลความจำเป็นในการเกณฑ์ทหารที่ยังต้องเดินหน้าต่อไป แต่ก็พร้อมปรับเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคง และ ความเป็นจริงของสังคม
ทำให้ข่าวในทำนอง พลทหารเลี้ยงไก่ ซักกางเกงในคุณนาย ล้างรถ เสิร์ฟเหล้า ทำกับข้าว ลดน้อยลงไปจากที่เคยติดเทรนด์ข่าวยอดนิยมก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “งาน” ของพลทหารรับใช้ หรือที่เรียกว่าพลทหารบริการในลักษณะดังกล่าวจะหมดไป เพียงแต่กองทัพถูกจับตามองมากขึ้น ตีกรอบให้การปฏิบัติต้องอยู่ในกรอบของความเหมาะสม แต่ก็อยู่ภายใต้แนวคิดเดิมในเรื่องของการฝึกวินัย การปลูกฝังแนวคิดตามแบบฉบับของทหาร และจิตสาธารณะเรื่องงานบริการที่เริ่มจากองค์กรหลักของชาติ
เหตุผลอีกประการคือ ยกเลิกการเกณฑ์ทหารนั้น คงทำไม่ได้ในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจากความต้องการ (จำนวน) กับผู้ที่สมัครจริงนั้น ยังไม่สอดคล้องกัน กล่าวคือ ผู้ที่สมัครยังมีจำนวนน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการจับ “ใบดำ-ใบแดง” คงต้องใช้ต่อไปอีกระยะ แต่กองทัพก็เคยแถลงว่า ยอดความต้องการของทหารกองประจำการนั้นจะลดลงเรื่อยๆ ที่ล้อไปกับแผนปฏิรูปกองทัพ ลดกำลังพลที่วางไว้อยู่แล้ว
“กองทัพก็ทำอยู่แล้วและคิดไม่ต่างจากพรรคการเมืองว่าก็ต้องปรับตัว แต่เมื่อเป็นฤดูของการหาเสียงเลือกตั้งก็ต้องวาดภาพให้เห็นว่าสิ่งที่ทำมีผลอย่างไร โจทย์จึงถูกโยนว่ากองทัพหวงอำนาจ ไม่ยอมคายผลประโยชน์หรือเปล่า ถึงเดินไปไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแนวทางทหารแบบสมัครใจกองทัพทำมาตั้งแต่ปี 2546-2547 แต่ทำได้ตามเป้าบ้าง ทำไม่ได้บ้าง บางปีต้องการมากน้อยเป็นไปตามภารกิจในช่วงนั้น ทั้งมีการเพิ่มหน่วย ลดหน่วย ซึ่งฝ่ายอำนวยการเขาจะเป็นคนประเมินตรงนี้ด้วย จากนั้นจึงเป็นนโยบายของผู้บังคับบัญชาด้วย แต่ในอดีตเคยมีการทำแผนเหมือนกัน ประมาณว่า ถ้าภัยคุกคาม หรือภาระงานอยู่ในระดับต่ำ เมื่อถึงปี 2571-2572 จะเหลือยอดทหารกองประจำการแค่ประมาณ 3 หมื่นคน สอดคล้องกับแผนปฏิรูปกองทัพ ลดกำลังพล แต่นั่นก็ต้องดูปัจจัยอื่นที่เป็นตัวแปรด้วย อย่างภัยพิบัติที่ต้องใช้คน จะมีหน่วยงานอื่นที่จะจัดขึ้นในภารกิจนี้เพื่อรับมือโดยตรงหรือไม่ ซึ่งมันจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน” แหล่งข่าวทางทหารรายหนึ่งระบุ และว่า
หากย้อนดูข้อมูลพบว่า ยอดความต้องการปี 2563 จำนวน 97,324 นาย, ปี 2564 จำนวน 97,558 นาย และปี 2565 จำนวน 58,330 นาย ถือว่าลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในปีหลังก็มีสถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวเอื้ออำนวย
จากยอดในปี 2565 จำนวน 58,330 นาย จะเห็นว่าเป็นกลุ่มที่สมัครผ่านโครงการทหารออนไลน์ 6,101 นาย และกลุ่มเข้ารับการตรวจเลือก 51,692 นาย มีผู้ร้องขอเข้ารับราชการในวันตรวจเลือก 21,046 นาย คงเหลือจับฉลากแดง 30,646 นาย ซึ่งมีจำนวนลดลงจากปี 64 ถึง 18,749 นาย
น่าสนใจว่าในปีนี้ข้อมูลผู้สมัครใจเป็นทหารออนไลน์ที่เปิดตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา มีประมาณมากกว่า 1 หมื่นคน ซึ่ง ทบ.มองว่าตรงตามเป้าที่กำหนดไว้ ซึ่งเดิมตั้งเป้าว่า ในปี 65-66 จะต้องลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ (ปีละ 5 เปอร์เซ็นต์) เมื่อรวมกับผู้สมัครใจเข้าเป็นทหาร ณ วันตรวจเลือกปกติ 4,600 คน (ณ วันที่ 2 เม.ย.) หลังจากเปิดการตรวจเลือกแค่ 2 วัน ก็น่าจะเป็นไปตามเป้าที่ต้องการ
จากตัวเลขดังกล่าว แสดงให้เห็นว่ายังไม่สามารถยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะยังมีบางภารกิจที่ยังไม่พบการแจงตัวเลขได้อย่างเป็นทางการ และในปีนี้กองทัพบกก็ยังไม่เปิดเผยตัวเลขความต้องการในภาพรวมเหมือนปีที่ผ่านมา แต่ที่เห็นอยู่คือ ความพยายามที่จะปรับปรุง และหาแนวทางในการเข้าใกล้ “ทหารกองประจำการแบบสมัครใจ” เกือบทั้งหมดให้ได้
ทั้งมาตรการ แรงจูงใจ ค่าตอบแทน การเปิดกว้างให้เข้าสู่ระบบทหารอาสา ปรับปรุงภาพลักษณ์ในการฝึก การจัดหางาน ด่านแรกคือ ฝ่าแรงกดดันจากทุกสารทิศที่ต้องการให้กองทัพปรับตัว ด่านสุดท้ายคือ หลังสมรภูมิการเลือกตั้งที่งัดข้อกันระหว่างสองขั้วอุดมการณ์ที่กำลังดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายใดจะชนะจนนำไปสู่การยกเลิกเกณฑ์ทหารได้หรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”
ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’
1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร
เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ
ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า
ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง
บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย
‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’
‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

