2 ขั้วการเมืองขบเหลี่ยมเฉือนคม เปิดศึก!แย่งปลาในบ่อเดียวกัน

ใกล้โค้งสุดท้ายการหาเสียงเลือกตั้ง บรรยากาศเริ่มเข้มข้นและดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่มีการปราศรัยโจมตี ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองเท่านั้น แต่พรรคการเมืองในฝ่ายเดียวกัน คือ ฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายค้าน ก็โจมตีกันเองเช่นกัน

โดยเฉพาะฝ่ายรัฐบาล ระหว่างพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ขบเหลี่ยมกันมาตลอด ขณะที่ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย (พท.) ก็เปิดศึกกับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ชัดเจนขึ้น

เริ่มจาก บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ ของ พปชร.ที่วาดหวังจะเป็นนายกฯ คนที่ 30 จึงวาง Position จัดวางตำแหน่งหรือฐานะทางการเมืองตนเองใหม่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ชูยุทธศาสตร์ ก้าวข้ามความขัดแย้ง

มีการเขียนจดหมายเปิดผนึกเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กถึงแนวคิดจุดยืนของตัวเองมาตั้งแต่ฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 10 ล่าสุดที่เคลมว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากบัตรเลือกตั้งใบเดียวเป็น 2 ใบ และแก้ตัวหารคะแนน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จาก 500 มาเป็น 100 เป็นผลงานของตัวเองที่จะก้าวข้ามความขัดแย้ง และยังพาดพิง พล.อ.ประยุทธ์ ว่าต้องการกลับเป็นบัตรใบเดียวและปาร์ตี้ลิสต์หาร 500

ล่าสุดจากสถานการณ์ราคาไฟฟ้าแพงขึ้น พรรคการเมืองต่างๆ แข่งกันเสนอนโยบายแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าแพง เพื่อช่วยเหลือประชาชนในยามเดือดร้อนและหวังจะได้คะแนนเสียง และโจมตีรัฐบาลว่าผิดพลาดล้มเหลวในการแก้ปัญหาราคาพลังงาน ทั้งไฟฟ้า น้ำมัน และก๊าซหุงต้ม ไม่เว้นพรรค พปชร.ที่ออกมาถล่ม พล.อ.ประยุทธ์อย่างรุนแรง

ในวันอังคารภายหลังการประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม นั่งหัวโต๊ะ เคาะมาตรการแก้ปัญหาราคาไฟฟ้าแพง เตรียมชงให้ กกต.ไฟเขียวใช้งบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวม 11,112 ล้านบาท โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า "ขอร้องอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นการเมืองเลยได้ไหม มันไม่มีอะไร"

ขณเดียวกัน ที่พรรค พปชร. นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมืองพรรค พร้อมด้วย นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษากรรมการนโยบายพรรค และ .ล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี ทีมนโยบายเศรษฐกิจของพรรค แถลงถึงประเด็นปัญหาค่าไฟฟ้าแพง

โดยสรุปว่ามาจาก 3 สาเหตุหลัก 1.ปัญหาการสร้างโรงไฟฟ้าเกินจำเป็น โดยไฟฟ้าสำรองปี 2557 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ปฏิวัติ 30% และปี 2565 หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ มา 8 ปี ขึ้นเป็น 70% รัฐทำสัญญากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนแบบ Take or Pay คือแม้ไม่ใช้ไฟก็ต้องจ่าย 2.การเปลี่ยนสัญญาสัมปทานในแหล่งก๊าซบงกชและเอราวัณเป็นสัญญาแบ่งปันผลผลิต เกิดความผิดพลาดล่าช้า ทำให้ปริมาณก๊าซจากอ่าวไทยลดลงกว่า 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุต ทำให้ต้องนำเข้า LNG ที่มีราคาแพงกว่าหลายเท่ามาทดแทน 3.กฟผ.เข้าไปรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีต้นทุนแพงกว่าต้นทุนเฉลี่ยของ กฟผ.อย่างมาก ทำให้ค่าไฟสูงขึ้น

ขณะที่ นายธีระชัย กล่าวว่า “แนวทางแก้ไขปัญหาค่าไฟฟ้าของนายกฯ ประยุทธ์ ในปัจจุบันเป็นการแก้ไขแบบเอื้อต่อนายทุนมากกว่าการมองผลประโยชน์ของประชาชนอย่างจริงจัง จึงทำให้เกิดเป็นปัญหาสะสมอย่างต่อเนื่อง กระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ”

การตั้งโต๊ะแถลงของแกนนำ พปชร. ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ นายกฯ และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค รทสช.ไม่พอใจอย่างมาก วันถัดมาได้ให้สัมภาษณ์ว่า "วันนี้ก็ไม่ควรที่จะมาโจมตีกันเองมากนัก ควรจะไปบอกว่าจะทำอะไรเมื่อตัวเองเป็นรัฐบาล พูดอย่างนี้น่าจะดีกว่า ก็ทำให้มันดีขึ้นก็แล้วกัน การมาติติงกันเองก็อย่าลืมว่าอยู่ในรัฐบาลเดียวกันมาโดยตลอดหลายปี หรือ 4 ปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นอย่าเอาตรงนี้มาโดยทุกอย่างโยนมาที่ผม... ซึ่งถ้ามันจะดีก็ดีด้วยกัน แต่ถ้าผิดพลาดก็ถือว่าผิดพลาดด้วยกัน”

ว่ากันว่า เหตุที่แกนนำ พปชร.ตั้งโต๊ะแถลงถล่ม พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไม่ไว้หน้ากัน ก็ได้รับไฟเขียวจาก พล.อ.ประวิตร แล้ว เนื่องจากไม่พอใจที่ นายทุนใหญ่-เจ้าพ่อพลังงาน

ที่เคยมาเฝ้ารอ พล.อ.ประวิตร ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เพื่อขอไฟเขียวโครงการพลังงานของตนเอง และแบ่ง "กล้วย” ให้มาดูแล ส.ส.ในพรรค พปชร.สม่ำเสมอ แต่หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์แยกไปตั้งพรรค รทสช. เจ้าพ่อพลังงานก็ไม่เหลียวแล พปชร.อีกเลย และยังส่ง "นอมินี” ไปนั่งในพรรค รทสช.ถึง 3 คน

การกระทบกระทั่งระหว่าง พี่ป้อม กับ น้องตู่ จากปัญหาราคาไฟฟ้าแพง คงทำให้พี่น้อง 2 ป.ร้าวฉานกันมากที่สุด เพราะปล่อยให้มีการโจมตี น้องตู่ ตรงๆ ว่าแก้ปัญหาแบบเอื้อนายทุน!

แต่การกล่าวหากันเช่นนี้คงไม่ทำให้ใครได้คะแนนนิยมมากขึ้น มีแต่จะร่วงลงอีก หรือการงัดนโยบายหาเสียงลดราคาพลังงานลงมาอย่างฮวบฮาบ ก็คงไม่มีใครคิดว่าจะทำได้ เพราะมีคำถามว่านั่งอยู่ในรัฐบาลมาตั้งนาน ทำไมไม่ทำ?

ส่วนทางฝั่งฝ่ายค้านเดิมก็ขบเหลี่ยมเฉือนคมกันเองไม่แพ้กัน ตั้งแต่ออกสตาร์ทหาเสียงเลือกตั้ง ที่มีกระแสข่าวว่าพรรคเพื่อไทยมีดีลลับกับนายทักษิณ ชินวัตร เปิดทางให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขึ้นเป็นนายกฯ

ทำให้ แกนนำพรรคก้าวไกล-คณะก้าวหน้า ออกมาวิพากษ์วิจารณ์จุดยืนของพรรค พท.อย่างต่อเนื่อง ไม่เห็นด้วยที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะไปร่วมกับฝ่ายที่ทำรัฐประหาร และได้ประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคและบุคคลที่มีส่วนรัฐประหารและฆ่าคนเสื้อแดง แถมยังจะแก้แค้นคณะรัฐประหารอีกด้วย

แกนนำ พท.จึงแก้เกมว่าตั้งเป้าแลนด์สไลด์ 310 เสียง จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และจะไม่จับมือกับพรรค พปชร. แต่ อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พท. ก็ยังแทงกั๊กอยู่

ที่เดือดที่สุดคือ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค พท. โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว กระแทกพรรค ก.ก.อย่างแรงว่า ประชาชนต้องการพรรคการเมือง.......ที่มีวุฒิภาวะ มีความสามารถที่จะทำงานกับผู้อื่นๆ ได้ มีความสามารถที่จะทำงานเป็น ทำได้จริงมี ปสก.ที่จะเปลี่ยนแปลงปัญหาและชีวิตประชาชนได้ในวันนี้ มิใช่ความสามารถที่ไกลเกินเอื้อม  ...ไม่ใช่ฝันถึงดวงดาว แต่ไปได้ไกลแค่ต้นมะพร้าว"

นายภูมิธรรมยังเหน็บพรรค ก.ก.ว่า ทำงานด้านโซเชียลมีเดียได้สำเร็จอย่างดีเยี่ยม พร้อมยืนว่า พท.ทำมาก่อนแล้วทุกเรื่อง ไม่ว่าสมรสเท่าเทียม ไม่ว่าสุราพื้นบ้าน ไม่ว่ากระจายอำนาจ จะแก้ไขโครงสร้างการเมือง/ศก.

การออกมาฟาดพรรค ก.ก.ของนายภูมิธรรม สืบเนื่องจากพรรค ก.ก.จัดปราศรัยใหญ่ที่ลานหน้าสามย่านมิตรทาวน์ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 22 เม.ย. ในชื่อ “ทัพใหญ่ก้าวไกล โค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง” นำโดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ น.ส.พรรณิการ์ วานิช และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล โดยมีแฟนคลับซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ และมวลชนของพรรค มาร่วมฟังอย่างคับคั่งนับหมื่นคน

โดยแกนนำบนเวทีปลุกให้คนกล้าฝันถึงอนาคต ไม่กักขังประเทศอยู่ในอดีต เลือก ก.ก.เป็นรัฐบาล เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ พร้อมกับโจมตีนักการเมืองไทยว่าอยู่เป็น เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล ใช้เสียงข้างมากเจรจาต่อรองกับชนชั้นนำจารีตประเพณี โดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ปิดท้ายด้วย นายพิธา ปราศรัยแสดงจุดยืนว่า “พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ขอให้ทุกคนออกไปเลือกก้าวไกลให้ถล่มทลาย พรรคก้าวไกลเชื่อถือได้ ตรงปก มีจุดยืนชัดเจน 'มีลุงไม่มีเรา และมีเราไม่มีลุง!'"

ขณะเดียวกัน สำนักวิจัยซูเปอร์โพลเสนอผลการศึกษาต่อเนื่อง เรื่อง โพลเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งที่ 5 ศึกษาประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ส.ส.ทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ อายุ 18 ปีขึ้นไป พบว่า โพลเคยระบุเชิงเปรียบเทียบว่ากลุ่มผู้สนับสนุนพรรคการเมืองต่างๆ เสมือนปลาในบ่อเลี้ยงสามบ่อ บ่อแรกคือ บ่อของฝูงปลานิยมพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล, บ่อที่สองคือ บ่อของปลานิยมพรรคภูมิใจไทย, พรรคประชาธิปัตย์, พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ และบ่อที่สามคือ บ่ออื่นๆ รวมถึงพลังเงียบ

โดยผลการศึกษาครั้งนี้พบประเด็นที่น่าสนใจคือ “พรรค ก.ก.ได้รับความนิยมพุ่งขึ้นอันดับหนึ่ง จาก 6.7% ในการศึกษาปลายเดือน มี.ค. ขึ้นมาเป็น 24.4% ในการศึกษาล่าสุดเดือน เม.ย. แต่พรรค พท.ลดลงจาก 29.1% ในช่วงปลายเดือน มี.ค. ตกมาอยู่ที่ 11.2% ในเดือน เม.ย. ซึ่งชี้ให้เห็นได้ในมุมหนึ่งว่า ปลาไม่กระโดดข้ามบ่อ สิ่งที่พบคือความนิยมเพิ่มที่พรรค ก.ก. ความนิยมลดลงจากพรรค พท."

ทางด้าน นายปิยบุตร แสงกนกกุล โพสต์ตอบโต้ นายภูมิธรรม อย่างเจ็บแสบเช่นกันว่า "พรรคไทยรักไทยได้ควบรวมพรรคการเมืองอื่นๆ เข้ามา และประกอบกับผลงานของรัฐบาล ทำให้การเลือกตั้งในปี 2548 ชนะอย่างถล่มทลายมากกว่าเดิม ก่อนที่จะเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนวันนี้ ผ่านมา 17 ปี เรายังคงอยู่ในวิกฤตการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม..." พร้อมกับบอกว่า "เยาวชนคนรุ่นใหม่มีความคิดที่ก้าวหน้าแหลมคมมากกว่าเดิม การเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 จะต้องไม่นำพาเรากลับไปอดีต เราต้องมองไปสู่อนาคต..."

การแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของพรรค ก.ก.เรียกว่าโดนใจคนรุ่นใหม่และพลังเงียบไม่น้อย ซึ่งส่วนใหญ่เบื่อหน่ายนักการเมืองเก่าที่ไม่คิดปฏิรูปโครงสร้างประเทศ ขณะที่พรรค พท.ก็ยังคลุมเครือในแนวทางและจุดยืน ผลสำรวจของสำนักโพลต่างๆ รวมทั้งโพลภายในของพรรค พท.เอง ก็พบว่ากระแสนิยมของพรรค ก.ก.พุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะในเขตเมือง

ล่าสุดกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเดินทางกลับไทยช่วงปี 2549 หลังเกิดการรัฐประหาร เพราะพูดหลายครั้ง แต่ไม่ตรงกัน พรรค พท.จึงขยี้ซ้ำ โดย นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจ พท. ในฐานะอดีตผู้แทนการค้าไทยสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ปี 2549 ให้สัมภาษณ์ว่า "พอขึ้นเครื่องบินก็มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาบอกผมว่าฝากน้องพิธาด้วย น้องมาเรียนอยู่ที่นี่ ผมก็รับทราบ เพราะวันนั้นผมเป็นหัวหน้าคณะนำเครื่องบินกลับ เวลานั้นเท่าที่ทราบ พิธาเป็นหลานของนายผดุง เลขาฯ ท่านทักษิณ ผมก็ไม่ติดใจอะไร เมื่อลงจากเครื่องบินก็เดินทางกลับบ้านได้เลย ไม่มีการจับตัว หรือคลุมถุงดำ ไม่ถูกอายัดบัญชี"

การขบเหลี่ยมเฉือนคมคนกันเองของ 2 ขั้วการเมือง แบบไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ เพราะแต่ละพรรคคาดหวังจะได้คะแนนเสียงตามเป้า แต่บรรยากาศการหาเสียงยังไม่มีสัญญาณว่าฝ่ายตนเองจะบรรลุตามเป้าหมายได้แค่ไหน และทราบดีว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งส่วนใหญ่เลือกข้างไปแล้ว เหลือ "พลังเงียบ” จำนวนหนึ่งที่สามารถเทไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งได้ จึงต้องงัดกลยุทธ์ช่วงชิงฐานคะแนนเสียงกันอย่างดุเดือดแบบไม่เกรงใจกัน หลังผลการเลือกตั้งออกมาค่อยพูดคุยเจรจากันอีกที!.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กินข้าวค้างสต๊อกกลบจำนำข้าว แผนปูทาง"ยิ่งลักษณ์"กลับไทย?

หลัง ทักษิณ ชินวัตร-หัวหน้ารัฐบาลเพื่อไทยตัวจริง ได้ออกมาระบุเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ระหว่างการกลับไปเล่นน้ำสงกรานต์ที่จังหวัดเชียงใหม่ บ้านเกิดของตระกูล “ชินวัตร” ว่า สงกรานต์ปีหน้า ยิ่งลักษณ์คงได้มีโอกาสกลับมาทำบุญและเล่นสงกรานต์ที่เชียงใหม่ และไม่แน่ อาจกลับภายในปีนี้