โค้งสุดท้ายสนามภาคใต้ระอุ เพื่อไทย-ก้าวไกลแค่หวังลุ้นปักธง

การลงพื้นที่หาเสียง-ขึ้นเวทีปราศรัยในพื้นที่ภาคใต้ ตรัง-พัทลุง-สงขลา ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 29-30 เม.ย. ไม่ได้เหนือความคาดหมายกับกระแสตอบรับจากประชาชนในพื้นที่ทั้ง 3 จังหวัด ซึ่งให้การต้อนรับพลเอกประยุทธ์เป็นอย่างดี เพราะอย่างที่รู้กัน ฐานเสียงหลักของรวมไทยสร้างชาติที่หวังผลได้จริงๆ ก็คือ ภาคใต้ และตามด้วยกรุงเทพมหานคร ที่มีโอกาสได้ลุ้นทั้ง ส.ส.เขต และคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ แบบเป็นกอบเป็นกำ และข่าวว่า 3 พ.ค. พล.อ. ประยุทธ์จะลงพื้นที่และเปิดปราศรัยใหญ่ที่สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจังหวัดในภาคใต้ที่รวมไทยสร้างชาติตั้งเป้าว่าต้องปักธง ส.ส.ที่จังหวัดนี้ให้ได้ ที่ก็ต้องสู้กับแชมป์เก่าประชาธิปัตย์อย่างดุเดือด

ดูแล้วหลังจากนี้ คีย์แมนของพรรคการเมืองที่หวังที่นั่ง ส.ส.เขตภาคใต้ ที่มีด้วยกัน 60 ที่นั่ง และคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 7,186,241 คน คงต้องมีการปรับยุทธศาสตร์หาเสียง ด้วยการลงไปเน้นย้ำในพื้นที่เลือกตั้งภาคใต้ให้หนักขึ้น เพื่อทำให้กระแสลุงตู่ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาคลายลงเมื่อไปถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค.

แลเห็นเด่นชัด พื้นที่เลือกตั้งภาคใต้รอบนี้ หลายพรรคต่างทุ่มสรรพกำลังลงมาหาเสียงในพื้นที่อย่างหนัก ทำให้ศึกเลือกตั้งสนามภาคใต้แข่งกันแบบสูสีเข้มข้น

  ไม่ว่าจะเป็น ประชาธิปัตย์ ที่ต้องการกลับมาทวงคืนความยิ่งใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้อีกครั้ง บนเดิมพันการเมืองของพรรค ที่ต้องได้ ส.ส.หลังเลือกตั้งรวมกันหมด ไม่น้อยกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 คือ ต้องมากกว่า  52 ที่นั่ง รวมถึง ภูมิใจไทย ที่เลือกตั้งรอบที่แล้วทำเซอร์ไพรส์ เพราะกวาดที่นั่ง ส.ส.เขตภาคใต้ ไป 8 ที่นั่ง ส่วนครั้งนี้ข่าวว่า ขุนพลภาคใต้ภูมิใจไทยตั้งเป้าว่า ส.ส.เขตอย่างต่ำต้องไม่ต่ำกว่า 12 ที่นั่ง ทำให้ภาคใต้เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ซึ่งภูมิใจไทยก็เน้นเป็นพิเศษ

 และยังมี พลังประชารัฐ (พปชร.) ที่แม้เลือกตั้งรอบนี้ อดีต ส.ส.ภาคใต้ของ พปชร.หลายคนจะย้ายออกไปพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่บิ๊กป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ยังเชื่อว่าคนภาคใต้น่าจะยังสนับสนุน พปชร.อยู่ จึงทำให้พรรคให้ความสำคัญกับพื้นที่ภาคใต้ไม่ใช่น้อย อย่างเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พลเอกประวิตรและแกนนำพรรคก็ขนทัพหลวงไปหาเสียงที่นครศรีธรรมราช

สำหรับจังหวัดซึ่งพรรค พปชร.ตั้งเป้าว่าจะต้องมี ส.ส.เขตให้ได้ นอกจากที่นครศรีธรรมราชแล้ว ก็ยังมีอีกหลายแห่ง เช่น สงขลา ที่ครั้งที่แล้วได้ ส.ส.เขตไปถึง 4 เก้าอี้ แต่ทั้งหมดตอนนี้ไม่มีใครอยู่ พปชร.สักคนเดียว เพราะอดีต ส.ส.เขต 3 คนคือ ศาสตราศรีปาน-พยม พรหมเพชร-ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี ย้ายไปรวมไทยสร้างชาติ ส่วนวันชัย ปริญญาศิริ ไปเป็นนายกเทศมนตรีนครสงขลา ทำให้ พปชร.ในสงขลายวบไปพอควร และยังมี ภูเก็ต ซึ่งครั้งที่แล้วล็อกถล่ม เพราะ พปชร.ชนะยกจังหวัด ได้มา 2 เก้าอี้ คือ สุทา ประทีป ณ ถลาง-นัทธี ถิ่นสาคู โดยรอบนี้ทั้ง 2 คนก็ยังอยู่ รวมถึงหวังลุ้นอีกบางเขตใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ยะลาเขต 1 ที่ส่งอดีต ส.ส.ยะลาคนเดิม อาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ทนายความ แต่ก็ต้องสู้กับคนของพรรคประชาชาติ ที่หวังกวาด ส.ส. 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้เกินครึ่ง จากที่เคยเป็นแชมป์ตอนปี 2562 ที่ตอนนั้นได้มา 6 ที่นั่ง

  ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่พลังประชารัฐไม่มี ลุงตู่-พลเอกประยุทธ์ ทำให้พลังประชารัฐไม่มีจุดขายสำคัญในภาคใต้ อันเป็นการบ้านที่แกนนำพรรคสายภาคใต้ เช่น อนุมัติ อาหมัด-นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ต้องวางแผนหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้าย เพื่อทำให้พรรคมีกระแสตอบรับมากกว่านี้ในภาคใต้

ขณะเดียวกัน อดีตพรรคฝ่ายค้านทั้งเพื่อไทยและก้าวไกลก็หวังเข้ามาแชร์เก้าอี้ ส.ส.เขตและคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ในภาคใต้ เห็นได้จากที่แกนนำพรรคลงพื้นที่หาเสียงและเปิดเวทีปราศรัยที่ภาคใต้หลายรอบ 

โดยเฉพาะเพื่อไทยดูจะคึกคักเป็นพิเศษ หลังก่อนหน้านี้เมื่อ 26 มีนาคมที่ผ่านมา นิด้าโพลเผยผลสำรวจประชาชนเรื่อง “คนนครศรีธรรมราชเลือกพรรคไหน” ปรากฏว่า แม้ตัวบุคคลอันดับ 1 ที่จะเลือก จะไม่ผิดความคาดหมายคือ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ที่ผิดคาดพอควรก็คือ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตรจากเพื่อไทยมาอันดับ 2 ด้วยผลสำรวจ ร้อยละ 21.07 โดยอุ๊งอิ๊งมีคะแนนนิยมเหนือกว่า จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มาเป็นอันดับ 5 เสียอีก รวมถึง ส.ส.เขต อันดับ 1 ที่คนจะเลือกคิดเป็นร้อยละ 22.29 ระบุว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 2 ร้อยละ 21.68 ระบุว่าเป็นพรรคเพื่อไทย

และที่ผิดคาดมากสุดคือ ส.ส.บัญชีรายชื่อ อันดับ 1 ร้อยละ 22.44 ระบุว่าเป็นพรรคเพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 21.68 ระบุว่าเป็นพรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 3 เป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ

เลยไม่แปลกที่จะทำให้แกนนำเพื่อไทยที่รับผิดชอบภาคใต้ รวมถึงแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทย เศรษฐา ทวีสิน ดูจะมั่นใจลึกๆ ว่า รอบนี้เพื่อไทยอาจจะได้ ส.ส.เขตที่ภาคใต้บ้าง เพราะหากเพื่อไทยปักธงในภาคใต้ได้ จะทำให้เพื่อไทยเกทับได้ว่า มี ส.ส.ทุกภาค หลังเคยมี ส.ส.ภาคใต้ล่าสุด ก็เมื่อตอนเลือกตั้งปี 2548 ที่ กฤษ ศรีฟ้า-ไทยรักไทย เอาชนะประชาธิปัตย์ได้ที่พังงา บ้านเกิดของจุรินทร์ หัวหน้าพรรค ปชป. จากผลพวงเรื่องการช่วยเหลือประชาชนจำนวนมากที่ประสบภัยคลื่นสึนามิ จนทักษิณหน้าบานอย่างมาก ที่ยุคนั้นเอาชนะประชาธิปัตย์ในภาคใต้ได้ 

ทว่าหลังจากนั้น ทักษิณ-เพื่อไทย ก็ไม่เคยมี ส.ส.ภาคใต้อีกเลย จนเกิดวาทกรรม คนใต้ไม่เอาทักษิณ-เพื่อไทย ดังนั้นหากรอบนี้แค่ปักธง ส.ส.เขตภาคใต้ได้สักคนเดียว เพื่อไทยคงคุยโวว่ามี ส.ส.ทั่วประเทศครบทุกภาค

ส่วน พรรคก้าวไกล ก็เช่นกัน รอบนี้ก็หวังลุ้นลึกๆ ว่าจะสามารถปักธง มี ส.ส.เขตในภาคใต้ หลังเลือกตั้งปี 2562 ในยุคพรรคอนาคตใหม่ ปรากฏว่ามี ส.ส.เขตทุกภาค ยกเว้นแค่ภาคใต้ที่เดียว ทำให้ก้าวไกลก็วางแผนหาเสียงที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่ภาคใต้พอสมควร โดยเฉพาะในพื้นที่เขต 1 อำเภอเมือง ของ 14 จังหวัดภาคใต้ ที่แม้อาจไม่ได้ ส.ส.เขต แต่ก้าวไกลก็หวังคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ไว้ระดับหลักล้านจากโหวตเตอร์ในภาคใต้ที่มี 7 ล้านกว่าเสียง

โดยมีการมองกันว่า พื้นที่ซึ่งดูจะเป็นจุดอ่อนของก้าวไกลในภาคใต้ ก็น่าจะเป็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา-ปัตตานี-นราธิวาส

ซึ่งแม้จะเป็นพื้นที่ซึ่งโหวตเตอร์มีความตื่นตัวทางการเมืองสูง และก้าวไกลมั่นใจในผลงานที่ผ่านมาสมัยเป็นฝ่ายค้าน เช่น การเป็นพรรคที่ร่วมผลักดัน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 จนผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาได้สำเร็จ ซึ่งเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ค่อนข้างมาก รวมถึงนโยบายบางเรื่องที่โดนใจโหวตเตอร์ในพื้นที่ เช่น นโยบายให้ยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

อย่างไรก็ตาม มีการมองกันว่า การที่ พิธา-ก้าวไกล ยืนยันว่า การที่พรรคก้าวไกลจะเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองขั้วใด การจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าวจะต้องรับนโยบายของพรรคไว้เป็นนโยบายรัฐบาลด้วย เช่น สมรสเท่าเทียม กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ รวมถึง สุราก้าวหน้า ที่เป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อนกับกลุ่มคนไทยมุสลิมที่มีจำนวนมากใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงอีกหลายพื้นที่ในภาคใต้ จึงอาจทำให้ก้าวไกลอาจหืดขึ้นคอพอสมควรในการปักธง ส.ส.เขตภาคใต้รอบนี้ แม้อาจจะมีลุ้นบางเขตบางจังหวัด เช่น ภูเก็ต เป็นต้น

สมรภูมิรบศึกเลือกตั้งพื้นที่ภาคใต้จึงเข้มข้น เร้าใจ ตั้งแต่ออกสตาร์ท ไปจนถึงตอนนับคะแนนเสียงหลังปิดหีบเลือกตั้ง 14 พ.ค.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี

“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”

ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’

1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร

เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ

ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล

การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า

ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง

บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย

‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้