เลือกตั้งชี้ชะตาประเทศ เดินหน้าหรือเข้าสู่วิกฤต

เวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคการเมืองใหญ่กลางกรุงเทพฯ เมื่อเย็นวันศุกร์ที่ผ่านมา แกนนำหลายพรรคได้ปล่อยชุดความคิดและแนวทางการต่อสู้เดิมพัน ซื้อใจประชาชนให้ตัดสินใจเลือกผู้สมัครและพรรคตัวเองอย่างดุเดือด

พรรคการเมืองอย่างน้อย 6 พรรคถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มค่อนข้างชัด กลุ่มแรกคือ พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคพลังประชารัฐ ที่ปลุกพลังฐานคะแนนอนุรักษนิยมที่มีเป้าหมายปกป้องสถาบันหลักไว้อย่างเหนียวแน่น

“เราจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายรากเหง้าของประเทศไทยเด็ดขาด ทุกคนต้องไม่ปล่อยให้ผมสู้อยู่คนเดียว" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ระบุที่เวทีปราศรัยภายในศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ นำทีมโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ประกาศว่า “พรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองใดก็ตาม ถ้าไม่เอาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือกระทำการใดๆ ทำให้สถาบันเหล่านี้สั่นคลอนเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ และนี่คือจุดยืนที่แข็งที่สุดของพรรค”

ขณะที่กลุ่มที่ 2 คือ ภูมิใจไทย และประชาธิปัตย์ เสนอตัวเป็นทางเลือกให้คนที่ไม่เอาทั้งสองขั้ว ทำนองว่า เบื่อลุง-ไม่เอาหลาน ก็ต้องเลือกทางที่ประนีประนอม

“คนชื่ออนุทิน ชาญวีรกูล อยู่ตรงกลาง เดินหน้าแก้ปัญหา ไม่สนใจใครเลย วันนี้พี่น้องกลับไปขึ้นแฮชแท็กเลย อนุทินไปต่อไม่รอแล้ว ปล่อยให้ลุงกับหลานเขาทะเลาะกันไป" นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งกรุงเทพมหานครของพรรค ระบุ

สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ที่ใช้ลานคนเมืองเป็นพื้นที่ปิดเวทีหาเสียงส่งท้ายในแคมเปญ save ประชาธิปัตย์ save ประชาธิปไตย หวังให้คนอย่าเสี่ยงกับวิกฤตที่อยู่ตรงหน้า

“ประชาธิปัตย์จะไม่เป็นระเบิดเวลาให้กับประเทศ เพราะนโยบาย ปชป.ไม่เปลี่ยนทุกอย่างที่ขวางหน้า ถ้าเป็นสิ่งไม่ดีก็เปลี่ยนได้ ถ้าดีอยู่แล้วแต่จะเปลี่ยน สุดท้ายจะพาประเทศสู่วิกฤต”

ขณะที่กลุ่มที่ 3 ก็คือพรรคฝ่ายค้าน ทั้งเพื่อไทยและก้าวไกล ซึ่งมีคะแนนนิยมตามโพล 2 อันดับแรก ปิดเวทีตอกย้ำจุดยืนของตัวเอง ตรึงโหวตเตอร์ให้ลงคะแนนเชิงยุทธศาสตร์

“ก้าวไกลให้ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม เลือกอนาคต อย่าเลือกอดีต เลือกด้วยความหวัง ไม่ใช่เลือกด้วยความกลัว" นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ระบุ

ส่วนพรรคเพื่อไทย อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ งัดมุกเดิมใช้บารมี "ทักษิณ” ที่จะกลับมาติดคุก ปลุกเร้าให้คนที่คิดจะปันใจไปพรรคอื่นกลับมาหาเพื่อไทย

ที่น่าสนใจคือคำปราศรัยของ เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ที่ปลุกพลังคนเสื้อแดง และตอกกลับเด็กไร้มารยาทและ “พรรคไอโอ” อย่างดุดัน โดยกล่าวว่า “ไม่ว่าจะคิดเรื่องประชาธิปไตยอย่างไร ไม่ว่าจะใจผูกสมัครพรรคไหน แต่ขอให้มองเป้าหมายเป็นตัวตั้ง ถ้าเป้าหมายคือล้มเผด็จการ ปักธงประชาธิปไตย เราต้องมารบด้วยกันในวันที่ 14 พฤษภาคมนี้ ไม่มิเช่นนั้น พลเอกประยุทธ์ไม่ต้องรอลุ้นอะไร นอกจากรอแทรกขึ้นมาตรงกลางในระหว่างพรรคประชาธิปไตย วันนี้ ไม่ใช่เรื่องโง่ ฉลาด กล้า ไม่กล้า แต่อยู่ที่ว่ามองปัญหาอย่างไร จัดการปัญหาอย่างไร..

…พรรคเพื่อไทยเจ็บมามาก บอบช้ำมามาก จึงมองว่าการจัดการปัญหาเผด็จการแบบนี้ต้องเดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ และคำแรกที่จะอิ่มด้วยกันคือคำว่าแลนด์สไลด์ และขอให้เลือกให้เด็ดขาด ไม่ใช่เลือกด้วยความกลัว แต่เลือกด้วยความชัวร์ เช็กบิลเผด็จการ

ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นของพรรคเพื่อไทยซึ่งเคยครองอันดับหนึ่งในโพลมาตลอด กลับถูกท้าทายด้วยกระแสของพรรคก้าวไกลที่กำลังชิงวาทกรรม “แลนด์สไลด์” หวังคะแนนแบบไป-กลับในขั้วการเมืองเดียวกัน ไม่เฉพาะใน กทม. 2-3 เขตที่มีแนวโน้มที่เพื่อไทยจะเสียพื้นที่ให้ก้าวไกล แต่ในภาคอีสาน คะแนนของพรรคก้าวไกลดีขึ้นตามลำดับ จากพลังของ “ติ๊กต๊อก” ที่เข้าถึงทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย อย่างรวดเร็ว

การยื้อยุดระหว่างสองพรรค โดยก้าวไกลใช้ "จุดอ่อน” ของเพื่อไทยที่เคยออกอาการกั๊กไปจับมือกับขั้วลุงในช่วงต้น เปิดแผลตอกย้ำให้กลุ่ม “เกลียดลุง-เบื่อลุง” ชิงคะแนนให้มากาพรรคก้าวไกล ทำให้ “แลนด์สไลด์” ของเพื่อไทยจึงเป็นไปได้ยาก ดับฝันในการต่อรองในการเข้าสู่อำนาจ จัดตั้งรัฐบาล ปูทางพาทักษิณกลับบ้าน

แต่เพื่อไทยเองก็ไม่กล้าฝืนกระแสที่พรรคก้าวไกลกำลังติดลมบน เพราะนโยบายที่เร้าใจ กระตุ้นให้คนในสังคมอยากเปลี่ยนแปลงและพร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น จึงจำใจต้องงัดอุดมการณ์เดียวกันเกาะเกี่ยวไปแบบปลอมๆ เพราะเชื่อว่าประชาชนคนรุ่นใหม่ที่สนับสนุนแกนนำของก้าวไกลเป็น “กระแสสูง” ที่พร้อมเป็น "ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ตามที่ปิยบุตร แสงกนกกุล งัดคำคุ้นชินในหนังสือทฤษฎีแนวคิดทางการเมืองมาใช้หาเสียง

ขณะที่พรรค 2 ลุงดูเหมือนจะมอง "ข้ามช็อต” และปล่อยไหลไปตามสถานการณ์ เพราะรู้ดีว่าด้วยจำนวน ส.ส.ที่จะได้รับเลือกนั้นคงไม่มากกว่าอีกฝั่ง แต่ขณะเดียวกันก็รุกหนักฐานเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลเดียวกันในพื้นที่ภาคใต้ ถึงขนาดที่ “ชวน หลีกภัย” ต้องออกมาพูดว่ามีการซื้อเสียงรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จนตัวเองต้องปักหลักในพื้นที่ รณรงค์หาเสียงจนหยดสุดท้าย ดำรงจุดมุ่งหมายในการต่อต้านธนกิจการเมือง

อาจเป็นเพราะเชื่อว่า “ผลการเลือกตั้ง” ที่ออกมาคงไม่มีพรรคการเมืองเดียวที่มีเสียงข้างมากในสภา และเมื่อรวมสองพรรคฝ่ายค้านปัจจุบันก็ยังไม่มากพอที่จะเป็นเสียงข้างมากของ 2 สภา แม้บางฝ่ายเชื่อว่ากระแสจะทำให้วุฒิสมาชิกตัดสินใจลงคะแนนตามเจตนารมณ์ของประชาชน แต่ก็มี ส.ว.บางคนออกมาระบุแล้วว่า เสียงส่วนใหญ่อาจจะ “งดออกเสียง” ในการเลือกนายกฯ ดังนั้นหากจะเป็นรัฐบาลได้ก็ควรรวบรวมเสียงในสภาล่างมาให้ได้ 375 เสียง เพื่อความชัวร์ แต่นั่นคงเป็นสูตรที่ยากจะเป็นไปได้

ดังนั้น ปรากฏการณ์การล็อบบี้ของอีกฝ่าย และใช้กระแสสังคมกดดันของอีกฝ่าย จึงสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการเผชิญหน้า เปิดศึกวิวาทะเร่งอุณหภูมิร้อนทางการเมืองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ

ที่สำคัญกว่าจะถึงจุดนั้นยังต้องฝ่าด่าน 7 อรหันต์ของ กกต.ว่าจะประกาศรับรองผลการเลือกตั้งเมื่อใด ซึ่งกฎหมายเปิดกว้างการประกาศผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่า 60 วัน ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาใบแดง-ใบเหลือง หรือจะมีอภินิหารทางกฎหมายใดๆ เข้ามาเปลี่ยนเกม

จึงมีแนวโน้มว่ารัฐบาลใหม่คงจัดตั้งขึ้นไม่ได้ง่ายๆ เพราะการเคลื่อนไหว ต่อรอง เปิดดีล ระหว่างการรอรับรองผลย่อมเกิดแรงกระเพื่อมของฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะแกนนำที่อาจปลุกระดมกลุ่มมวลชนที่หนุนตนเองออกมาต่อต้าน

หากสถานการณ์ลากยาวต่อไป พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังเป็นนายกรัฐมนตรีรักษาการ คณะรัฐมนตรียังคงทำหน้าที่จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางการกดดันของอีกฝ่ายหนึ่งต่อเนื่อง แต่จะถึงขั้น สุญญากาศ หรือเลยไปถึง “ทางตัน” ทางการเมืองไปนานแค่ไหนนั้น ยังไม่มีใครคาดเดาได้

สถานการณ์ที่ยื้อยุดเหล่านี้ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะพรรคขนาดกลางที่เป็นตัวแปรทางการเมืองต่างวิเคราะห์และมองเห็นทิศทางการเมืองหลังการเลือกตั้งเป็นฉากๆ อยู่แล้ว จึงพยายามเสนอสูตรที่ประนีประนอม

โอกาสที่การเมืองจะเดินหน้าหรือถอยหลัง จึงมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเป็นตัวตัดสิน จากกติกาและกรอบกฎหมายที่มีกลไกซับซ้อนซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่ผลการเลือกตั้งที่ออกมาในวันนี้เท่านั้น

แต่อย่างน้อยผลการเลือกตั้งจะทำให้ผู้มีอำนาจรู้ว่าประชาชนต้องการสิ่งใด และต้องการให้ประเทศเดินไปทิศทางไหน แต่ก็อย่าลืมว่ามีคนอีกจำนวนไม่น้อยก็มีความเห็นต่างไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

โดยมีตัวอย่างจากต่างประเทศให้ได้เห็นเป็นกรณีศึกษา ว่าการเผชิญหน้าทางการเมืองจนนำไปสู่การล่มสลายของชาติและประชาชนร่วมชาติอย่างไร

เลือกตั้งครั้งนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินหน้าสิ่งใหม่ๆ แต่ขณะเดียวกันก็อาจนำไปสู่การแตกหักจากปมที่สะสมความขัดแย้งเดิม ส่อเค้าหมุนวนเข็มนาฬิกาประเทศจนเกิดวิกฤตซ้ำซากในที่สุด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เศรษฐา' เตรียมจ้อ 'นายกฯพบประชาชน' เดือนละครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เตรียมจัดรายการ “นายกฯพบประชาชน” ซึ่งจะจัดเดือนละ 1 ครั้งในวันเสาร์ เพื่อสื่อสารการทำงานของรัฐบาล และพูดคุยกับประชาชน

พิสูจน์ฝีมือ ‘ครม.เศรษฐา2’ ปรับทัพใหม่ รอดหรือร่วง?

หลังปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรียบร้อย โดยมีรัฐมนตรีเข้าใหม่ 7 คน และออก 4 คน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ กว่าจะได้คนที่ถูกฝาถูกตัว ก็ต้องมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจเป็นธรรมดา

'หมอนทองเขาบรรทัด' สินค้า GI รายการที่ 3 ของตราด

รัฐบาลมุ่งเพิ่มมูลค่าสินค้าท้องถิ่นไทย ขึ้นทะเบียนทุเรียนหมอนทองเขาบรรทัด เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จังหวัดตราด เพื่อความเชื่อมั่นคุณภาพสินค้า ยกระดับรายได้ชุมชน