ขวากหนามผู้นำ ‘พิธา’ มีมากกว่าถือ ‘หุ้นสื่อ’

มีความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจเกี่ยวกับกรณีการถือครองหุ้นไอทีวีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล 

โดยเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน นายพิธาได้โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเผยว่า ตนเองได้มีการแบ่งมรดกหุ้นไอทีวีให้แก่ทายาทอื่นไป โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันปัญหาจากกระบวนการฟื้นคืนชีพความเป็นสื่อมวลชนให้กับบริษัทไอทีวีที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ หลังจากพบพิรุธบางอย่าง 

ขณะที่วันเดียวกัน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีการพิจารณากรณีสำนักงาน กกต.รายงานผลการดำเนินการเกี่ยวกับคำร้องขอให้ตรวจสอบว่านายพิธามีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) และมาตรา 42 (3) พระราชบัญญัติ​ประกอบ​รัฐธรรมนูญ​ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. เนื่องจากถือหุ้นไอทีวีหรือไม่ 

คำร้องดังกล่าวเป็นของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ที่ขอให้ตรวจสอบว่า นายพิธาเข้าข่ายรู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังคงลงสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.หรือไม่ 

โดยในการประชุมดังกล่าว ที่ประชุม กกต.เห็นว่า สำนักงาน กกต.ยังเสนอรายละเอียดไม่ครบถ้วน จึงให้ไปดำเนินการให้ครบถ้วน และเสนอกลับมาที่ประชุม กกต.โดยเร็วที่สุด  

ถือเป็นแอ็กชันแรกของ กกต.นับตั้งแต่มีการร้องเกี่ยวกับการถือครองหุ้นสื่อ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญ เนื่องจากมีข่าวว่า เดือนมิถุนายนนี้จะได้บทสรุปเรื่องข้อพิพาทกันระหว่างสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีกับไอทีวี  

ซึ่งคำพิพากษาของศาลปกครองนี้ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นายพิธาระแวงและตัดสินใจโอนหุ้นไปให้ทายาทคนอื่น เพราะกลัวว่าไอทีวีจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพเป็นสื่อมวลชนอีกครั้งหรือไม่ หากสุดท้ายชนะคดี 

อย่างไรก็ดี กรณีการถือครองหุ้นไอทีวีของนายพิธานั้น ถูกมองว่าเป็นการร้องเพื่อสกัดกั้นการเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายพิธา เหมือนกับที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่โดน  

โดยขณะนี้สังคมกำลังเข้าใจว่า หากสุดท้ายนายพิธาถูกวินิจฉัยว่ามีลักษณะต้องห้าม จะทำให้อดนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี       

หลายคนกำลังเชื่อว่า แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลจะถูกแผนเดิมที่เคยใช้ ทั้งที่มีส่วนจริงเพียงส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด  

อย่าลืมว่า ต่อให้นายพิธารอดกรณีถือครองหุ้นสื่อไปได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า หนทางสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศจะง่ายขึ้น เพราะปัญหาใหญ่ของนายพิธาและพรรคก้าวไกลก่อนหน้านี้คือ ยังรวบรวมได้ไม่ถึง 376 เสียง    

ขณะที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ประกาศจะไม่โหวตให้นายพิธานั้น ไม่ได้เจาะจงเฉพาะตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่ขวางทุกคนที่มาจากพรรคก้าวไกล เพราะไม่เห็นด้วยกับนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 

ฉะนั้น ต่อให้รอดคดีถือครองหุ้นสื่อไปได้ มันอาจจะทำให้สบายใจได้ในแง่ของเส้นทางการเมืองที่ยังไปต่อได้อยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่า จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี 

ขณะเดียวกัน ขวากหนามของนายพิธาในเรื่องคดีไม่ได้มีแค่ประเด็นถือครองหุ้นสื่อ แต่ก่อนหน้านี้เคยถูกร้องเรียนเอาไว้สารพัดเรื่องในหลายองค์กรอิสระ  

รอดบ่วงนี้ แต่อาจจะโดนบ่วงอื่นก็ได้ ในเมื่อฝ่ายสกัดตั้งแท่นแล้วว่า ไม่เอาชื่อนี้เด็ดขาด 

และหลายๆ ครั้งเห็นกันแล้วว่า กลเกมของฝ่ายสกัดกั้นพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ จนบางครั้งจับทางไม่ถูกว่าจะมาไม้ไหน และหลายๆ ครั้งเหนือความคาดหมายก็มีให้เห็น   

                    และเรื่องการถือครองหุ้นสื่อนี้ ยังไม่รู้ว่าจะจบก่อนหรือหลังโหวตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะส่งผลต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน 

ซึ่งหากรอด หรือหากยังไม่ได้บทสรุป ชื่อของนายพิธายังสามารถเสนอเข้าไปโหวตได้ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล อยู่แค่ว่าจะฝ่าด่าน ส.ว.ไปได้หรือไม่ ซึ่ง ณ วันนี้ยังไม่ถึง 376 เสียง  

หากไม่ถึง 376 เสียง ต้องดูอีกว่า ขาดไปเท่าไหร่ หากขาดไม่มาก น่าจะทิ้งช่วงเพื่อให้พรรคก้าวไกลไปหามาเพิ่มเพื่อรอเสนอชื่อไปโหวตซ้ำ เมื่อโหวตแล้วต้องดูอีกว่า ขาดน้อยกว่าเดิมหรือไม่  

ยากที่พรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคตัวเองไปแข่งทันทีที่ชื่อของ พิธา ไม่ผ่านในรอบแรก เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ  

มันต้องลองกันไปจนสุด จนรู้สึกว่าไม่มีทางแล้ว ถึงเวลานั้นจะอยู่ที่พรรคก้าวไกลตัดสินใจแล้วว่า จะลองเปิดทางให้กับพรรคเพื่อไทยบ้างหรือไม่  

พรรคเพื่อไทยในฐานะพระรองไม่ออกตัวก่อนแน่ ยกเว้นพระเอกตาย และนางเอกไม่มีคนดูแลถึงจะเข้าไปได้ 

เพียงแต่ถ้าทั้ง 2 พรรคยืนยันไม่ทิ้งกัน เมื่อถึงคราวพรรคเพื่อไทยบ้าง แต่เกิดกรณีเสียงยังไม่เพียงพออยู่ดี พรรคก้าวไกลจะยอมรับวิธีการหาเสียงมาเติมของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ 

เพราะพรรคก้าวไกลนั้นมีเงื่อนไขค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเรื่องมีเราไม่มีลุง หรือแอนตี้พรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบันที่เคยโหวตหนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงตรงนั้นพรรคก้าวไกลรับได้หรือไม่  

ถ้ารับไม่ได้แบบนี้จะถือว่า พรรคเพื่อไทยทิ้งพรรคก้าวไกลหรือไม่ 

เพราะต้องไม่ลืมว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนล็อกเอาไว้ว่า พรรคอันดับ 1 ต้องเป็นผู้นำประเทศได้เพียงพรรคเดียว. 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี

“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”

ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’

1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร

เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ

ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล

การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า

ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง

บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย

‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้