“....น่าแปลกใจที่ทั้งพรรคเต็มไปด้วยความเงียบงัน ไม่มีการเปิดตัวผู้อาสามาเป็นหัวหน้าพรรคหรือเลขาธิการพรรคคนใหม่ ไม่มีการรณรงค์หาเสียงเหมือนอดีตที่ผ่านมา ที่เราเคยเป็นต้นแบบระบบประชาธิปไตยภายในพรรค มีการแข่งขันกันอย่างเสรีเหมือนทุกครั้ง แต่กลับมีกระแสเล็ดลอดซุบซิบในวงแคบๆ ว่า มีการล็อกสเปกบุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ไว้แล้ว โดยกลุ่มอดีตผู้บริหารที่กุมเสียงว่าที่ ส.ส.ชุดปัจจุบันได้กว่า 17 คน ซึ่งตามข้อบังคับพรรคจะให้น้ำหนักโหวตถึง 70 เปอร์เซ็นต์ โดยมีเป้าต้องการที่จะร่วมรัฐบาล
ตนทราบมาว่าหลายคนอึดอัดกับท่าที ที่กำลังเป็นอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ เพราะทุกคนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงภายในพรรค เสมือนการปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่ เป็นการถอยเพื่อถอดบทเรียน รับฟังเสียงจากสมาชิกส่วนใหญ่ให้มีส่วนร่วมด้วย ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ควรกระทำ เพราะถ้าหวังร่วมรัฐบาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจรักษาจุดยืนของพรรค การเลือกตั้งครั้งต่อไปเราอาจจะไม่มีที่ยืนในสภาแม้แต่ที่เดียว…”
ตอนหนึ่งของจดหมายเปิดผนึกของ เชาว์ มีขวด สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองโฆษกพรรค ที่มีถึงผู้บริหารพรรคและสมาชิกพรรคทั่วประเทศ สะท้อนสถานการณ์ภายในพรรคที่เป็นสถาบันทางการเมืองในเวลานี้ได้ดี
ทั้ง ส.ส. อดีต ส.ส. ต่างยอมรับว่าการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ ต้องยกให้เป็นการตัดสินใจของ ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาเขาคนนี้เป็นผู้อุปการคุณ ส.ส. ฉะนั้น เมื่อถึงเวลาก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ผู้ใหญ่ว่าอย่างไร เด็กในสังกัดก็ต้องว่าตามนั้น จึงเป็นที่มาที่คนภายนอกเห็นว่านี่แหละ คือการล็อกโหวต
โดยเฉพาะ ส.ส.ชุดปัจจุบัน ปี 66 ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ว่านี้ ดูแลอย่างดี ไม่ขาดตกบกพร่อง และเป็นคนเบื้องหลังที่ทำให้หลายคนประสบความสำเร็จได้เป็นผู้แทนราษฎรเดินเข้าสู่สภา แต่การกระทำเช่นนี้ยอมมีเป้าหมาย โดยภายในพรรคพูดชัดเจนว่าผู้ใหญ่ที่มีอำนาจเต็มมือท่านนี้ มีเป้าหมาย อยากนำพาพรรคไปร่วมรัฐบาล โดยมีเงื่อนไขเพียงว่าไม่จับมือกับพรรคก้าวไกลเท่านั้น
หากก๊อกสอง พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล “พรรคประชาธิปัตย์” ภายใต้เงามืดที่ชักใยอยู่ ก็พร้อมจะขอเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลด้วย!!! เพราะติดใจการทำหน้าที่เป็นรัฐบาลมากกว่าการทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบฝ่ายบริหาร ไม่สนแม้แต่การต่อสู้ทางอุดมการณ์ในอดีตที่เคยรบกับพรรคเพื่อไทยมา
หลายคนท้วงติงว่า อุดมการณ์ของประชาธิปัตย์เปลี่ยนไป ไม่เหมือน ประชาธิปัตย์ ยุคเก่า ที่เห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมืองมากกว่าปัจจุบันที่ยึดประโยชน์ของตนเป็นหลัก
นับจากนี้ อนาคตประชาธิปัตย์คงอยู่กับผู้มีอำนาจตัวจริงที่มีเสียง ส.ส.อยู่ในมือ จะมีวิสัยทัศน์ทำการเมืองอย่างไร จะหวังแค่น้ำบ่อนี้แล้วจบๆ กันไป ทิ้งพรรคไว้ลำพัง หรือจะทำให้ตนเองเติบโตควบคู่ไปกับพรรคที่เติบโตไปด้วย
อดีต ส.ส. สมาชิกพรรค แสดงความคิดเห็นกันหลากหลาย ประเมินกันว่าถ้าจะร่วมกับรัฐบาลนี้ก็มีแต่ เจ๊งกับเจ๊ง เพราะพรรคจะถูกลืมไปเรื่อยๆ ไม่มีวันกลับมายิ่งใหญ่ได้เหมือนเดิม จะมีแต่เล็กลงจนกลายเป็นพรรคขนาดเล็ก เว้นแต่ว่าจะไปลอกโมเดลของบางพรรคการเมืองที่ผงาดขึ้นมาได้ด้วยกระสุน
แล้วยิ่งหาก สงบปากสงบคำ เหมือนตอนเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ผ่านมาด้วยแล้ว ยิ่งจะทำให้ ประชาธิปัตย์ กลายเป็นพรรคจิ๋วแน่นอน
เสียงเรียกร้องจากคนภายในพรรคส่วนหนึ่ง เชื่อว่าทางรอดทางออกเดียวของพรรค จะต้องเป็น ฝ่ายค้าน เท่านั้น เพราะอย่างน้อยที่สุด ด้วยบทบาทนี้จะอยู่ในสายตาของสังคม ประชาชนจะคอยเงี่ยหูฟังตลอดว่าสิ่งที่รัฐบาลทำ ฝ่ายค้านเห็นอย่างไร
แต่กระนั้นก็ขึ้นอยู่กับบุคลากร โดยเฉพาะ 25 ส.ส.ของพรรคว่าจะทำงานจริงจัง ไม่เกี๊ยะเซียะกับใครเหมือนประชาธิปัตย์ยุคเก่าๆ หรือไม่ด้วย หรือจะทำตัวเป็นฝ่ายค้านเกียร์ว่าง พอถึงเวลาทำศึกซักฟอกก็ค้าข้อมูล เฉลยข้อสอบให้ฝ่ายตรงข้าม เหมือนที่พรรคอื่นเคยโดนซุบซิบมาแล้ว
เอาเป็นว่าอนาคตข้างหน้าของลูกแม่พระธรณีบีบมวยผม จะขึ้นหรือลงนั้น อยู่ที่ความคิดความอ่านของโหวตเตอร์ จะตัดสินใจกินอิ่มนอนอุ่นวันนี้ แล้วให้ประชาธิปัตย์ “จบที่รุ่นเรา”!! ก็แล้วแต่สะดวก
นับจากนี้ไปจนถึงวันที่ 9 ก.ค. ที่ประชาธิปัตย์นัดประชุมใหญ่วิสามัญ เพื่อออกแบบ ปชป. เวอร์ชัน 2023 เหลือเวลาอีกครึ่งเดือน คงได้เห็นความเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ สื่อสารไปยังผู้ใหญ่และ ส.ส.ในพรรคเพื่อพิจารณาต่อไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”
ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’
1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร
เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ
ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า
ปชป. เปิดตัว 'มาร์ค-กรณ์-อ้อ' ผู้นำทำเป็น พาไทยหายจน
ปชป. เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกฯ 'อภิสิทธิ์-กรณ์-การดี' ผู้นำที่ทำเป็น รวมพลัง DNA ประชาธิปัตย์ พาไทยหายจน
เอาฤกษ์เอาชัย! 'อภิสิทธิ์' นำทีมผู้สมัคร กทม. ไหว้ศาลหลักเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายกรณ์ จาติกวณิช ดร.การดี เลียวไพโรจน์ นายสกลธี ภัททิยกุล และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ นำผู้สมัคร สส. กทม. ทั้ง 33 เขต

