ศึกประลองกำลัง 'พท.-ก.ก.' ชิงเก้าอี้ 'ประธานสภา'

ศึกชิงประธานสภาผู้แทนราษฎรของ 2 พรรคแกนนำระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทย ส่อแววทวีความดุเดือดมากขึ้นทุกวัน เพราะ 2 พรรคนี้ต่างต้องการประมุขนิติบัญญัติ เนื่องจากตำแหน่งประมุขฝ่ายบริหารคือนายกรัฐมนตรีที่พรรคก้าวไกลจองแล้ว พรรคส้มยังต้องการประธานสภา เพราะเป็นตัวแปรสำคัญชี้ขาดว่านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล

จะได้ถึงฝั่งฝันเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 หรือไม่

ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยเกิดความไม่พอใจว่าจำนวน ส.ส.ระหว่างทั้ง 2 พรรคห่างกันเพียง 10 ที่นั่ง โดยพรรคก้าวไกลมี 151 ที่นั่ง และพรรคเพื่อไทยมี 141 ที่นั่ง แต่ทำไมถึงไม่แบ่งอีก ประมุขนิติบัญญัติให้พรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ทั้งนั้น ศึกชิงประมุขนิติบัญญัติมิใช่แค่เรื่องคุมเกมโหวตในสภาล่างเพียงอย่างเดียว แต่เป็นบันไดขั้นแรกในการจัดตั้งรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ด้วยเพราะแม้บรรดา 8 พรรคร่วม มี ส.ส.รวม 312 เสียงนั้น หน้าฉากจับมือโพสต์รูปหัวใจประหนึ่งรักกันปานน้ำผึ้ง หวานเป็นเอกภาพเนื้อเดียวกัน แต่หลังฉากคลื่นใต้น้ำยังคงปล่อยข่าวดิสเครดิตใส่กันอย่างต่อเนื่อง

โดยเมื่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร และวงประชุมกรรมการบริหารร่วมกับ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา ยืนกรานให้คณะเจรจาการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยยึดข้อตกลงเดิมของดีลตั้งรัฐบาล 8 พรรค คือ สูตร 14+1 ของ 2 พรรคแกนนำ คือพรรคก้าวไกลได้ 14 เก้าอี้รัฐมนตรี บวก 1 เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ถือเป็นเบอร์ 1 ของฝ่ายบริหาร ขณะที่พรรคเพื่อไทย ได้ 14 รัฐมนตรี บวก 1 เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะทำหน้าที่ประธานรัฐสภาโดยตำแหน่งในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อต้องการแชร์เก้าอี้ผู้นำของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติให้มีความสมดุล เอื้อต่อการจับมือ

สาเหตุที่พรรคก้าวไกลต้องการตำแหน่งประธานสภามีอยู่ 2 กรณี

1.เพื่ออำนวยความสะดวกในการโหวตเลือกนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ในกรณีถ้าพรรคก้าวไกลหาเสียงโหวตนายพิธา ไม่ได้เกินกึ่งหนึ่งของสภาคือ 376 พรรคก้าวไกลก็ไม่สามารถคุมฝ่ายบริหาร จึงต้องการตำแหน่งเพื่อยื้อเวลาให้การดีลกับ ส.ว.หรือพรรคการเมืองอื่นให้แล้วเสร็จก่อนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี หากเกิดกรณีที่เสนอชื่อโหวตนายพิธาทันที แต่เสียงไม่ถึงก็ไม่สามารถที่จะโหวตกลับมาที่นายพิธาได้อีก อานิสงส์ก็จะอยู่กับพรรคเสียงรองลงมาคือเพื่อไทย

2.คือเพื่อให้พรรคก้าวไกลสามารถนำกฎหมายต่างๆ ที่ตัวเองต้องการเข้าสู่ที่ประชุมสภาได้ดั่งใจ โดยเฉพาะกรณีการแก้ไข หรือยกเลิกมาตรา 112 จึงเสนอชื่อนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลเป็นแคนดิเดตของพรรค

ด้วยเหตุผลนี้จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การประชุมระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย รวมถึงการประชุมร่วม 8 พรรคจัดตั้งรัฐบาลต้องเลื่อนออกไปทั้งหมด หลังจากหาจุดร่วมลงตัวในตำแหน่งประธานสภาไม่ได้ ทั้งนี้ มีกระแสข่าวหนาหูออกมาว่า หากพรรคเพื่อไทยไม่ได้ตำแหน่งประมุขนิติบัญญัติ ก็จะปล่อยฟรีโหวตให้กับ ส.ส.ในพรรค ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก หากให้ไปถึงขั้นนั้น ตามข้อบังคับการประชุมสภา พ.ศ.2562 ข้อที่ 6 กำหนดให้การลงมติเลือกประธานสภาเป็นการลับ และจะจับมือใครดมไม่ได้ รวมถึงหากพรรคเพื่อไทยปล่อยฟรีโหวต นั่นหมายความว่า ส.ส.เพื่อไทยก็จะโหวตให้กับแคนดิเดตประธานสภาฝั่งเพื่อไทยอย่างนายสุชาติ ตันเจริญ ทันที ส่งผลให้พรรคก้าวไกลมีเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของ ส.ส. ไม่สามารถครองตำแหน่งประธานสภาได้

นั่นจะยิ่งเปิดรอยร้าวระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมากขึ้น และอาจจะเป็นส่วนสำคัญทำให้นายพิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็เป็นได้ และย่อมส่งผลต่อการจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคเดินหน้ายากขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้นเก้าอี้ประธานสภาจึงเป็นการประลองกำลัง ชิงเหลี่ยมทางการเมืองของพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถ้าเปรียบเทียบโปรไฟล์ระหว่างนายปดิพัทธ์และนายสุชาติ จะเห็นได้ว่ามีความต่างกันพอสมควร นายปดิพัทธ์ปัจจุบันอายุ 42 ปี การสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมที่พิษณุโลกพิทยาคม สำเร็จการศึกษาปริญญาตรี คณะสัตวแพทย์ฯ จุฬาฯ และวิทยาลัยศาสนศาสตร์ทรีนีตี้ สิงคโปร์ เป็น ส.ส.สมัยแรก เขต 1 พิษณุโลก ในนาม “พรรคอนาคตใหม่” ก่อนถูกยุบแล้วแปลงร่างเป็นพรรคก้าวไกล โดยในการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งล่าสุด เขาก็สามารถรักษาแชมป์ไว้ได้ เข้าสภาเป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งในรัฐบาลประยุทธ์ 2 นายปดิพัทธ์เป็น ส.ส.พรรคก้าวไกลอีกคนหนึ่งที่ได้ทำหน้าที่ได้อย่างโดดเด่นในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

ฝั่งนายสุชาติ เจ้าของฉายาพ่อมดดำ ปัจจุบันอายุ 65 ปี สำเร็จการศึกษาระดับมัยธม ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ พระนคร สำเร็จปริญญาตรี คณะวิศวะฯ จาก San Jose State University สหรัฐอเมริกา และปริญญาโท บริหารธุรกิจ Notre Dame de Namur University สหรัฐ โดยเจ้าตัวเป็น ส.ส.หลายสมัย และหลายพรรค 1 ในกลุ่ม 16 ที่โด่งดังเป็นอย่างมากในอดีต เป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวง รวมถึงเคยดำรงตำแหน่งรองประธานสภา คนที่ 1 มาแล้ว 2 ครั้ง คือในปี 2548 ในรัฐบาลไทยรักไทย และในปี 2562 ในรัฐบาลประยุทธ์ 2 

ทั้งนี้ ในวันที่ 2 ก.ค.นี้จะมีการประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งหลังจากที่ได้เลื่อนหลายครั้ง ซึ่งสังคมอาจจะได้ทราบทิศทางการเมืองไทยหลังจากนี้ว่าบทสรุปแล้วทั้ง 2 พรรคจะหาข้อตกลงร่วมตำแหน่งประมุขนิติบัญญัติได้หรือไม่ ซึ่งจะต้องจบศึกกันได้ในการประชุมสภา วันที่ 4 ก.ค.นี้ หรืออาจจะมีเหตุต้องเลื่อนออกไปอีกหรือไม่คงได้ทราบในเร็วๆ นี้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’

1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร

เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ

ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล

การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า

ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง

บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย

‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568