พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความมั่นใจก่อนเดินเข้าห้องพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสู้คดี หุ้นสื่อไอทีวี ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนคำร้อง วันพุธที่ 20 ธ.ค.นี้
โดย พิธา กล่าวไว้เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เตรียมความพร้อมที่จะไปไต่สวนคดีไว้แล้ว ทั้งหลักฐานที่เป็นหลักฐานส่วนตัว ในส่วนของผู้จัดการมรดก และหลักฐานว่าไอทีวีไม่ได้เป็นสื่อต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะมองเรื่องของรายได้ เรื่องของสัญญาอนุญาตที่ต้องขอในการทำสื่อจากสำนักงาน กสทช. ซึ่งทาง กสทช.ตอบกลับมาชัดเจนว่า ไม่มีสัญญาอนุญาตทำสื่อของไอทีวี
"ดังนั้นตรงนี้ก็พร้อมที่จะขึ้นบัลลังก์ในการให้ปากคำในฝั่งของผม และมั่นใจ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าจะไม่ผิด ทั้งนี้ แนวเรื่องของการเป็นผู้จัดการมรดกมีหลักฐานที่ไม่เคยเปิดที่ไหน ก็จะใช้ส่วนนี้จะอธิบายต่อสาธารณะ"
ทั้งนี้ วันพุธที่ 20 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 09.30 น. เป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเปิดห้องพิจารณาไต่สวน พยานบุคคล ในคำร้องคดีหุ้นสื่อไอทีวี ที่ พิธา-อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล อยู่ในสถานะผู้ถูกร้อง โดยมี คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้ร้อง โดยวันดังกล่าวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีการไต่สวนซักถามพยานบุคคลที่มีความสำคัญต่อรูปคดี ที่ศาลเรียกมาให้ถ้อยคำ
ที่ไฮไลต์น่าจะอยู่ที่พยานบุคคลในฝ่ายของพิธา ที่ก่อนหน้านี้ได้ยื่นรายชื่อพยานบุคคลให้ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ ที่พบว่ายังมีการ ปิดลับ รายชื่ออยู่ แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นผู้เกี่ยวข้อง-พยาน ที่มาให้ถ้อยคำแล้ว จะเป็นคุณ-ผลบวก ต่อการสู้คดีของพิธา เช่น บุคคลที่อาจจะมาให้ถ้อยคำในลักษณะที่ว่า ไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการเป็นสื่อแล้ว แม้สถานะบริษัทยังเปิดดำเนินการ ยังไม่ได้ไปจดแจ้งยกเลิกกิจการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แต่ก็เป็นเพราะต้องการเคลียร์เรื่องคดีความในชั้นศาลปกครองสูงสุดให้ยุติลงก่อน เป็นต้น
จุดพีกของเรื่องนี้ หากพิจารณาจากที่ พิธา ให้สัมภาษณ์ระบุไว้ข้างต้นจะพบว่า ฝ่ายพิธา-ทีมฝ่ายกฎหมายประจำตัวบอกว่าเตรียมพยานหลักฐาน-เอกสารสำคัญที่จะทำให้เขาชนะคดี แยกเป็น
1.หลักฐานส่วนตัว ในส่วนของผู้จัดการมรดก
ที่เป็นหลักฐานที่ไม่เคยเปิดที่ไหนมาก่อน ก็จะนำมาแถลงต่อศาลรัฐธรรมนูญ
2.หลักฐานเอกสารคำยืนยันจากสำนักงาน กสทช.
ซึ่งตามหลักกฎหมาย กสทช.มีบทบาทในการควบคุมกิจการสื่อโทรทัศน์ เช่น การออกใบอนุญาตประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ เป็นต้น
จึงน่าสนใจว่า หนังสือของ กสทช.ที่พิธากล่าวอ้าง จะมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน
ส่วนว่า ข้อต่อสู้-พยานหลักฐาน ในมือของพิธาครั้งนี้ จะเป็นข้อต่อสู้สำคัญจนทำให้ พลิกเกม จนศาลรัฐธรรมนูญสิ้นสงสัยและยกคำร้อง ทำให้พิธาชนะคดีได้กลับมาทำหน้าที่ สส.ในสภาฯ อีกครั้งหรือไม่ ก็อยู่ที่พิธาแล้วว่าหลักฐานดังกล่าวเด็ดแค่ไหน รวมถึงต้องดูว่า ระหว่างให้ถ้อยคำต่อศาลรัฐธรรมนูญ ทางตุลาการจะมีประเด็นซักถามอะไรบ้าง และตัวพิธาตอบได้เคลียร์ทุกปมข้อสงสัยหรือไม่ และพยานบุคคลที่ศาลเรียกมาให้ถ้อยคำ จะเป็นตัวทีเด็ดที่จะพลิกเกมการตัดสินคดี มีใครบ้าง ต้องรอดูวันที่ 20 ธ.ค.นี้
คาดหมายว่าหลังเสร็จสิ้น การไต่สวนพยานบุคคลในช่วงเย็นวันที่ 20 ธ.ค. ทางตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะประกาศนัดประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อลงมติตัดสินคดี และอ่านคำวินิจฉัย ในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ทันที โดยมีความเป็นไปได้ที่น่าจะนัดฟังคำวินิจฉัยคดีช่วงปลายเดือนมกราคม หรือไม่เกินกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2567
สำหรับคำร้องคดีหุ้นสื่อไอทีวีของพิธา หลักการวินิจฉัยคดีก็มีแค่ไม่กี่ประเด็นเท่านั้น
ลำดับแรก ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาก่อนเลยว่า ไอทีวียังประกอบกิจการเป็นสื่อมวลอยู่หรือไม่ แม้ตอนนี้ยังยุติการแพร่ภาพออกอากาศมานานหลายปีแล้ว แต่เมื่อยังไม่ได้แจ้งยกเลิกการประกอบกิจการกับกรมทะเบียนการค้า จะถือว่ายังทำธุรกิจสื่ออยู่หรือไม่ โดยศาลก็จะพิจารณาจากรายละเอียดต่างๆ เช่น งบการเงินของไอทีวี ในช่วงที่ผ่านมา เป็นต้น
ที่หากเสียงส่วนใหญ่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการเป็นสื่อแล้ว ก็จบเลย ศาลก็จะยกคำร้อง ไม่ถือว่าพิธาเจตนาครอบครองหุ้นไอทีวีก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงไม่ขาดคุณสมบัติการลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ตามรัฐธรรมนูญและตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้ง สส.
หากออกมาแบบนี้ พิธาก็ได้กลับมาทำหน้าที่ สส.เต็มตัวอีกครั้ง และจะกลับมาเป็นหัวหอกหลักของพรรคก้าวไกลในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน โดยมีภารกิจสำคัญรออยู่คือ การนำทัพ สส.ก้าวไกล อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ช่วงต้นเดือนมกราคม 2567
แต่หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าไอทีวียังประกอบกิจการเป็นสื่ออยู่
จากนั้นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะไปพิจารณาว่า พิธามีเจตนาครอบครองหุ้นไอทีวีดังกล่าวก่อนลงเลือกตั้ง ไม่ได้มีการโอนหรือจำหน่ายหุ้น อันเป็นการขัดรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.เลือกตั้ง สส.หรือไม่?
โดยหากเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าพิธามีการครอบครองไว้จริง ถ้าเป็นแบบนี้พิธาอาจไม่รอด
ศาลรัฐธรรมนูญอาจจะตัดสินว่าพิธาฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) และ พ.ร.บ.การเลือกตั้ง สส.ที่ห้ามผู้สมัคร สส.ถือหุ้นสื่อก่อนยื่นสมัครรับเลือกตั้ง
ซึ่งผลก็คือ จะทำให้พิธาต้องพ้นสภาพการเป็น สส.ทันที โดยให้มีผลย้อนหลังไปตั้งแต่วันเลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 แต่จะไม่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง-การเลือกตั้งแต่อย่างใด เพียงแค่หลุดจาก สส.เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากพิธาไม่รอด ก็อาจมีเสียวอีก เพราะ กกต.อาจฟัน "ดาบสอง" ในคดีอาญา!
ตามมาตรา 151 พ.ร.บ.การเลือกตั้ง สส.ที่บัญญัติว่า
“ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิ์รับสมัครเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทําหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ
ต้องระวางโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 20,000-200,000 บาท ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 20 ปี”
ที่แม้ก่อนหน้านี้จะมีข่าวว่า “คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้งพิจารณาของ กกต.” มีความเห็นให้ยกคำร้อง ไม่เอาผิดพิธา เนื่องจากหลักการเอาผิดในคดีอาญา จะดูเรื่อง "เจตนา" เป็นสำคัญ โดยอนุกรรมการเห็นว่าพิธาไม่มีเจตนา
แต่ต่อมาก็มีข่าวว่า กกต.-อนุกรรมการไต่สวนชะลอการพิจารณาเรื่องนี้ไว้ก่อน เพื่อรอผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก่อน จากนั้นจึงค่อยกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งหาก รายละเอียดในคำวินิจฉัยกลางในคดีนี้ออกมาชี้ว่า พิธามีเจตนาถือหุ้นสื่อไอทีวี ก็อาจทำให้ กกต.ฟันคดีอาญาพิธาตามมาก็เป็นได้
คดีหุ้นสื่อไอทีวีจะทำให้พิธาต้องตกม้าตาย พ้นจากการเป็น สส.เป็นคนที่ 3 ของอนาคตใหม่-ก้าวไกล ตามรอย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล หรือไม่ บอกได้เลย
ศึกนี้ไม่มีต่อเวลา มีแต่นับถอยหลัง รอวันปิดเกม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน
รัฐบาลอ่อนหัด โครงสร้างล้าหลัง ฉุดเชื่อมั่น'อนุทิน-ภท.'จมดิ่งกับน้ำท่วม
วิกฤตมหาอุทกภัยถล่ม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้ สร้างความหายนะราวกับคลื่นสึนามิ ซากปรักหักพังของเมืองเสมือนวันสิ้นโลก
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)

