‘ป.ป.ช.’ กุมคดี ‘โจ๊ก’ เบ็ดเสร็จ ‘หวานเจี๊ยบ’ ใช้เวลาอีกยาว

‘คำขอ’ ของ ‘บิ๊กเต่า’ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ทำหนังสือไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ส่งสำนวน ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับพวก รวม 5 คน ที่ถูกพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ กล่าวหากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมาตรา 149 เป็นเจ้าพนักงานเรียกรับทรัพย์สิน ‘ไม่เป็นผล’

หลังที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันจันทร์ 4 มีนาคม ที่มี ‘บิ๊กกุ้ย’ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการ นั่งหัวโต๊ะ มีมติรับเรื่องไว้พิจารณาและไต่สวนเอง

3 เหตุผลใหญ่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในวันดังกล่าว ได้แก่ 1.คดีนี้ผู้ถูกกล่าวหาคือ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ดำรงตำแหน่งสูงกว่าผู้ร้องเรียน 2.เป็นการกล่าวหาว่า กระทำความผิดร้ายแรงในวงกว้าง และ 3.มูลค่าที่มีการกล่าวหาเป็นมูลค่าที่สูง

ป.ป.ช.ยืนยันว่า มติดังกล่าวยึดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 “…ในกรณีจำเป็นจะมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่และอำนาจเกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตดำเนินการแทนในเรื่องที่มิใช่เป็นความผิดร้ายแรง หรือที่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐบางระดับ…”

นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยืนยันว่า การที่ ป.ป.ช.รับเรื่องไว้พิจารณาและไต่สวนเองไม่ได้เป็นการดึงเรื่อง หรือมีความสัมพันธ์อะไรส่วนตัวกับใคร

ขณะที่ ‘บิ๊กเต่า’ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยปล่อยให้ไปตามกระบวนการตรวจสอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

อย่างไรก็ตาม คดีนี้เป็นคดีที่หลายฝ่ายให้การจับตามองอย่างมาก โดยให้น้ำหนักไปที่ความขัดแย้งภายในองค์กรตำรวจเอง โดยเฉพาะเรื่องแคนดิเดต ผบ.ตร.คนใหม่ ที่จะมารับไม้ต่อจาก ‘บิ๊กต่อ’ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ที่จะเกษียณอายุราชการในปลายปีนี้

โดยมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า การที่ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ต้องเผชิญมรสุมช่วงนี้ น่าจะเป็นปฏิบัติการสกัด เนื่องจากเป็นรอง ผบ.ตร.ที่มีความอาวุโสสูงสุด

แต่ไม่ว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังความขัดแย้งครั้งนี้จะมีมูลเหตุอะไร คงไม่สำคัญเท่ากับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ กระทำความผิดจริงหรือไม่?

ผู้ตัดสินด่านแรกคือ ‘ป.ป.ช.’ หลังจากรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาเอง โดยไม่ส่งสำนวนคืนให้ตำรวจ ในขณะเดียวกันยังดึงข้อกล่าวหาเดิมที่เคยส่งไปยังกองบัญชาการสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งมีความเกี่ยวพันกันในเรื่องของบัญชีม้า กลับมาพิจารณาเอง เพราะต้องทำไปพร้อมทั้ง 2 เรื่อง

กล่าวคือ คดีนี้ของ ‘บิ๊กโจ๊ก’ จะอยู่ในมือของ ป.ป.ช.ทั้งหมด              โดยขณะนี้ ป.ป.ช.กำลังรอพนักงานสอบสวนส่งข้อมูลมาให้ครบ และเมื่อครบจะตั้งอนุกรรมการไต่สวนได้เลย ไม่ต้องรอตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ดีกรีความร้อนแรงของคดีที่ติดพันกันมาหลายวันบนหน้าสื่อระหว่าง ‘บิ๊กโจ๊ก’ กับ ‘บิ๊กเต่า’ น่าจะซาลงไปได้

อย่างไรก็ดี ในมุมของ ‘บิ๊กเต่า’ ลึกๆ คงไม่ค่อยแฮปปี้เท่าไหร่ เพราะอยากจะทำสำนวนเอง แต่ในขณะที่มุมของ ‘บิ๊กโจ๊ก’ น่าจะพอใจ แม้จะต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในองค์กรตรวจสอบเบอร์ 1 ของประเทศอย่าง ‘ป.ป.ช.’ ก็ตาม

อย่างน้อยการที่อยู่ในมือ ป.ป.ช.ก็สามารถเบาใจได้ว่า คดีจะไม่รวดเร็ว ฉับไว จนเกินไป

เนื่องจากกระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช.นั้น ต้องใช้ระยะเวลาอีกนานพอสมควร ขณะนี้รอข้อมูลเพื่อตั้งอนุกรรมการไต่สวน จากนั้นยังมีการแจ้งข้อกล่าวหา แก้ข้อกล่าวหา สรุป และลงมติว่าจะชี้มูลหรือไม่

น้อยนักที่จะชี้มูลได้รวดเร็ว ยกเว้นคดีที่มีพยานหลักฐานมัดแน่นตั้งแต่ก่อนจะมาถึงมือ ป.ป.ช.

ในขณะเดียวกัน ก็มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า ‘บิ๊กโจ๊ก’ เอง มีความสัมพันธ์ที่ดีกับบิ๊กใน ป.ป.ช. หรือแม้แต่ผู้มากบารมีที่ไม่ได้อยู่ใน ป.ป.ช. แต่เป็นที่เกรงอกเกรงใจของผู้มีอำนาจในนั้น

สำหรับ ‘บิ๊กโจ๊ก’ แล้ว ที่ ป.ป.ช.อย่างไรก็ดูปลอดภัยกว่าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ

เหมือนที่ก่อนหน้านี้ ‘บิ๊กโจ๊ก’ ตอบโต้ ‘บิ๊กเต่า’ ที่จะไปขอสำนวนกลับจาก ป.ป.ช.ว่า ใหญ่โตมาจากไหนถึงไปกดดัน ป.ป.ช.

“ไปแถลงข่าวกดดัน ป.ป.ช.เขาได้อย่างไร คุณเป็นใคร ระบบไต่สวน ป.ป.ช.เขามีความน่าเชื่อถือมากกว่า หรือไม่มากกว่าระบบกล่าวหาตำรวจ คุณใหญ่โตมายังไงไปกดดัน ป.ป.ช. แล้วพูดได้อย่างไรส่งมาให้ตำรวจ ตำรวจทำเร็วกว่า พูดอย่างนี้ไปดูถูกการทำงาน ป.ป.ช.หรือเปล่า”

ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว ตำรวจน่าจะต้องไว้ใจตำรวจด้วยกันมากกว่า แต่ครั้งนี้ ‘บิ๊กโจ๊ก’ กลับมั่นใจ ป.ป.ช.มากกว่า

พูดง่ายๆ คือ ดูมี ‘ทางรอด’ มากกว่า เมื่อดูจากปัจจัยต่างๆ ใน ป.ป.ช. หรืออย่างน้อยคดีนี้ก็คงกินระยะเวลาไปอีกนาน

ขณะที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ขณะนี้เหลืออยู่ 5 คน (อีก 4 อยู่ระหว่างสรรหา) โดยในจำนวนนี้มี 2 รายคือ ‘บิ๊กกุ้ย’ และ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ ที่จะหมดวาระดำรงตำแหน่งในปีนี้   
ซึ่งดูแล้วคงไม่น่าจะจบง่ายๆ ในปีนี้ และไม่รู้ว่ากรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่ที่จะค่อยๆ ทยอยเติมเข้ามาให้ครบ 9 คน จะยังทำให้อุ่นใจได้อยู่หรือไม่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี

“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”

ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’

1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร

เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ

ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล

การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า

ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง

บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย

‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้