ปล่อยข่าว ‘ปชป.’ เติมรัฐบาล เครื่องมือต่อรอง ‘พรรคร่วม’

จังหวะกับไทม์ไลน์ได้เลย กับ ‘ข่าวปล่อย’ ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

เป็นข่าวปล่อยรับ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่รอเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา และรับการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญ ระหว่างวันที่ 3-4 เมษายน

เป็นการเลือกจังหวะเวลาให้ใกล้เคียงกับความเป็นไปได้ในการปรับ ครม.มากที่สุด หลังก่อนหน้านี้เคยมีกระแสข่าวว่า จะมีการกดปุ่มปรับ ครม.หลัง พ.ร.บ.งบประมาณผ่านสภา เพื่อให้ ครม.เศรษฐา 2 มาใช้งบประมาณ

ขณะที่ ครม.เศรษฐา 1 หรือ ครม.ชุดแรก เป็นเรื่องของการ ‘ต่างตอบแทน’ เหมือนค่าเหนื่อยค่าแรงในสนามเลือกตั้งก๊ก ก๊วน และภูมิภาค  

ดังจะเห็นว่า ครม.เศรษฐาชุดแรก ไม่ได้เน้นหน้าตาเท่าไหร่ แต่เน้นแจกจ่าย บริหารจัดการภายในพรรค แต่ไม่ได้ใช้งบประมาณปี 2567 สักบาทเดียว

ต่างจาก ครม.เศรษฐา 2 ที่จะเข้ามาชุดต่อไป ชุดนี้จะมีเริ่มมี ‘ตัวจริง’ และ ‘มืออาชีพ’ บางคนเข้ามา สลับกับต่างตอบแทนกับคนที่ยังไม่ได้เป็น แต่ยังไม่ถือเป็นชุดมืออาชีพทั้งหมด เพื่อมาโชว์ฝีมือ

โดยมีรายงานระบุว่า อาจจะเป็นการ ‘ปรับเล็ก’ เน้นสลับตำแหน่ง กับเติมคนเข้ามานิดหน่อย โดยเฉพาะ 2 ตำแหน่งที่ยังว่างอยู่ หลัง นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร และกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กับนายพิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ติดปัญหาเรื่องคุณสมบัติ อดนั่งเสลี่ยงเป็นเสนาบดีเหมือนคนอื่นๆ ในรอบแรก จนต้องเว้นที่ว่างไว้ให้จนถึงปัจจุบัน

ในราย นายพิชิต เห็นว่า เคลียร์เรื่องคุณสมบัติแล้ว ขณะที่ในราย นายไผ่ ยังติดขัดอยู่ เพราะบางหน่วยงานยังยืนยันว่า ดำรงตำแหน่งไม่ได้

หากสุดท้ายนายไผ่พลาด ก็มีชื่อ ‘เสี่ยเบนซ์’ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา เด็กปั้น ‘ลุงป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐรออยู่

เพียงแต่ยังไม่รู้ว่า จะมีการปรับวัน เวลาไหน ที่แน่ชัด ทุกอย่างอยู่ที่ ‘จันทร์ส่องหล้า’ กดปุ่ม

บางสายระบุว่า หลัง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้ เพื่อให้ ครม.เศรษฐาชุดสอง มาใช้งบประมาณ กับอีกบางสายระบุว่า ตอนเริ่มพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2568  

ไม่ฟันธง แต่การันตีได้ว่า เร็วๆ นี้แน่นอน

อย่างไรก็ดี เรื่องการปรับ ครม.บ่อย ถือเป็นปกติมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทย แต่ที่มันตื่นตระหนกตกใจกันหมด เพราะดันมีข่าวว่า พรรคเพื่อไทยจะลดเก้าอี้ตัวเองลง 1 ตัว กับริบเก้าอี้พรรคภูมิใจไทย 1 ตัว เพื่อไปมอบให้ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ ที่จะดึงมาเข้าร่วมรัฐบาล

ข่าวปล่อยที่ออกมาอ้างว่า จะให้เก้าอี้ ‘รัฐมนตรีว่าการ’ 1 ตัว กับ ‘รัฐมนตรีช่วยว่าการ’ 1 ตัว กับ ‘ค่ายสีฟ้า’ เป็นการดึงมาเพื่อเพิ่มเสถียรภาพรัฐบาล

เพียงแต่หลายคนไม่ให้น้ำหนักข่าวนี้ในแง่ความเป็นไปได้ เพราะปัจจุบันรัฐบาลมีมือในสภาค่อนข้างล้นถึง 314 เสียง ไม่จำเป็นต้องเติมเข้ามาเพิ่ม

ลำพังเก้าอี้เพื่อแจกจ่ายให้คนในพรรคยังไม่เพียงพอ แต่จะลดเก้าอี้ตัวเองลง เพียงเพื่อไปดึง ‘ประชาธิปัตย์’ มันดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลทางหลักรัฐศาสตร์เท่าไหร่

อีกอย่างได้พรรคประชาธิปัตย์มาก็ได้มาแบบพิการ ไม่ครบจำนวน เพราะแกนนำพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผมระดับผู้นำจิตวิญญาณ ราวๆ 4 คน ไม่ตามมาด้วยแน่นอน

ข่าวนี้คนที่เสียกับเสียคือ ‘ประชาธิปัตย์’ เอง ส่วนคนได้ประโยชน์คือ ‘เพื่อไทย’ เหมือนที่ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้

โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์ ‘ประชาธิปัตย์’ ในทางการเมือง เอาไว้ต่อรองกับพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ให้กล้าถอนตัว หรือมีอำนาจต่อรองมากเกินไป เพราะรัฐบาลมีพรรคสำรองอย่าง ‘ค่ายสีฟ้า’ ที่มีบางกลุ่มในพรรคปรารถนาอยากจะข้ามขั้วแหกค่ายเข้าร่วม ยืนสแตนด์บายอยู่

มันมีกลุ่มที่กระสัน และพร้อมจะเข้าร่วม เพียงแต่ ‘เพื่อไทย’ ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเอามา ในขณะเดียวกัน การเก็บ ‘ประชาธิปัตย์’ เอาไว้แบบนี้ ดูจะมีประโยชน์มากกว่าดึงมาเลย  

ในมุมของนายเทพไทยังมองการปล่อยข่าวในช่วงก่อนการอภิปรายว่า มีผลกระทบต่อการอภิปรายของ ‘ประชาธิปัตย์’

“ถ้าประชาธิปัตย์อภิปรายตรวจสอบรัฐบาลไม่เต็มที่ หรือการอภิปรายด้วยข้อมูลที่อ่อน ก็อาจจะถูกกล่าวหาได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ออมมือซูเอี๋ย ล้มมวย เพื่อหวังจะเข้าร่วมรัฐบาล แต่ถ้าหากว่าพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายซักฟอกรัฐบาลอย่างเข้มข้นและเข้มแข็ง ดุเดือดสมกับการทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ก็อาจจะถูกกล่าวหาได้ว่า เป็นการอภิปรายรุนแรง กดดันเพื่อหวังจะเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งทำให้ประชาธิปัตย์เสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง”

ฉะนั้น เรื่องปรับ ครม.ดึง ‘ประชาธิปัตย์’ เสียบ จึงเป็นเรื่องหวังผลทางการเมืองมากกว่า.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ในหลวง พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกฯ นำ ครม.ชุดใหม่ เฝ้าฯ ถวายสัตย์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรี