แบ่งงานกันเรียบร้อย สำหรับ ครม.เศรษฐา 1/1 หลังที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่ผ่านมามีมติจัดสรรกันใหม่
หลักๆ คือ รองนายกรัฐมนตรี และ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
รองนายกฯ ลำดับที่ 1 ยังเป็น เสี่ยอ้วน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์คนเดิม รองนายกฯ ลำดับที่ 2 เป็นนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม ที่มานั่งแทนนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่โยกไปเป็น รมว.สาธารณสุข
รองนายกฯ ลำดับที่ 3 เป็นนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.การคลัง รองนายกฯ ลำดับที่ 4 คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย รองนายกฯ ลำดับที่ 5 คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรองนายกฯ ลำดับที่ 6 คือ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน เปรียบกับ ครม.เศรษฐา 1 ที่เปลี่ยนแปลงคือ นายสุริยะมาแทนนายสมศักดิ์ และนายพิชัยมาแทนนายปานปรีย์ พหิทธานุกร เท่านั้น นอกนั้นเหมือนเดิมหมด เรียงลำดับตามปริมาณ สส.ของพรรคต้นสังกัด
ลำดับเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ตัวบุคคล แต่ที่เปลี่ยนแปลงมากคือ กระทรวงที่รองนายกฯ แต่ละคนได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล ซึ่งครั้งนี้มีการเกลี่ยกันใหม่จำนวนมาก
นายพิชัย ที่เข้ามาใหม่ ซึ่งถูกคาดหมายว่าจะมาเป็นหัวหอกด้านเศรษฐกิจให้รัฐบาล ได้กำกับดูแลเพียงกระทรวงการคลังที่ตัวเองเป็นเจ้ากระทรวง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงบประมาณ
ขณะที่กระทรวงเศรษฐกิจกระจัดกระจายไปอยู่ที่นายภูมิธรรมและนายสุริยะมากกว่า ซึ่งเป็นการแบ่งตามยุทธศาสตร์ และกลุ่มก๊วน
โดยนายภูมิธรรมได้กำกับดูแลกระทรวงพาณิชย์ที่ตัวเองเป็นเจ้ากระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โควตาพรรคพลังประชารัฐ ที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ยินดีอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรองนายกฯ ต่างพรรค แต่สนิทสนมกันมากกว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมโควตาพรรคเพื่อไทย
ส่วน นายสุริยะ ตัวบิ๊กเบิ้มมากกว่าตอนนายสมศักดิ์เป็นรองนายกฯ โดยได้กำกับดูแลกระทรวงคมนาคมที่ตัวเองนั่งควบอยู่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รวมถึงกระทรวงวัฒนธรรม ที่นายปานปรีย์เคยคุม กระทรวงสาธารณสุขที่นายสมศักดิ์เคยคุม และตอนนี้ไปนั่งเป็นเจ้ากระทรวงเอง ซึ่งเป็นนักการเมืองในกลุ่มเดียวกัน
ฝั่งกระทรวงเศรษฐกิจที่เหลือ กระจายอยู่กับพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งกระทรวงแรงงาน ที่อยู่กับพรรคภูมิใจไทย และกระทรวงพลังงาน ที่อยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ
ฉะนั้น จึงไม่มีรองนายกฯ ที่สามารถเรียกได้ว่า เป็นรองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจแบบเบ็ดเสร็จ ขณะที่นายพิชัยเองถ้าดูจากหน่วยงานภายใต้การดูแล เหมือนถูกดึงมาช่วยเรื่องการลงทุนการค้ากับต่างประเทศ
และในตัวกระทรวงการคลังเอง แม้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี จะถอยออกมา แต่หน่วยงานที่เคยดูแลถูกผ่องถ่ายไปที่ รมช.การคลังมากกว่า รมว.การคลัง โดย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง จากพรรคเพื่อไทย ได้ดู 3 กรมที่ดูแลเรื่องจัดเก็บรายได้ ได้แก่ กรมศุลกากร กรมสรรพากร และกรมสรรพสามิต ที่ นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รมช.การคลัง จากพรรครวมไทยสร้างชาติเคยดู แต่ถูกดึงไป
ขณะเดียวกัน จากสถานะ รมช.การคลังลำดับ 1 ใน ครม.เศรษฐา 1 ของนายกฤษฎา ภายหลังการปรับเปลี่ยนกรมกองใหม่ นายกฤษฎา เหมือนถูกลดบทบาทอย่างมาก เพราะกรมสำคัญที่เคยดู ถูกดึงไปให้ รมช.การคลังจากพรรคเพื่อไทยแทบทั้งหมด จนทำให้นายกฤษฎาถึงขั้นจะลาออก แต่นายเศรษฐายับยั้ง ขอให้ทบทวน 1 คืน
ซึ่งในราย นายกฤษฎา ถือว่าน่าสนใจว่าเหตุใดจึงกล้าลดเนื้องานขนาดนี้ เพราะแม้จะเป็นโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ถือเป็นสายตรงของนายทุนใหญ่พรรค ที่มีบทบาทสำคัญในรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ขณะที่ก่อนหน้าจะปรับ ครม. เคยมีกระแสข่าวออกมาเหมือนกันว่า พรรคเพื่อไทยต้องการคุมกระทรวงการคลังแบบเบ็ดเสร็จแบบไม่มีพรรคร่วม แต่สุดท้ายนายกฤษฎายังอยู่ เพียงแต่ถูกดึงกรมสำคัญจากอกไปหมด
ว่ากันตามตรง เหมือนให้อยู่แบบทนได้ทนไป ซึ่งต้องจับตาว่าพรรคเพื่อไทยจะจัดการปัญหานี้อย่างไร
นอกจากมิติเศรษฐกิจ ในมิติด้านความมั่นคงก็น่าสนใจเช่นกัน กระทรวงกลาโหม ที่ ครม.เศรษฐา 1 ไม่มีรองนายกฯ กำกับดูแล ครั้งนี้มีการมอบหมายให้เสี่ยอ้วนกำกับดูแล และยังเอาสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่เคยอยู่กับนายสมศักดิ์ ไปให้รับผิดชอบด้วย
เหตุนี้จึงทำให้เสี่ยอ้วนเหมือนเป็นรองนายกฯ ด้านความมั่นคงกลายๆ
อย่างไรก็ดี เรื่องกระทรวงกลาโหมที่มอบหมายให้เสี่ยอ้วนดูครั้งนี้ มันทำให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้คำนึงหรือกังวลเกี่ยวกับบทบาทของกองทัพมากนักเหมือนในอดีต เนื่องจากที่ผ่านมาแม้ผู้นำจากพรรคเพื่อไทยหลายคนพยายามจะควบ รมว.กลาโหม เพื่อหวังอยู่ใกล้ชิดกองทัพ ป้องปรามการถูกรัฐประหาร แต่สุดท้ายมันก็เปล่าประโยชน์
อีกทั้งยุคนี้กองทัพกับรัฐบาลชุดนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง ฉะนั้น จึงไม่จำเป็นต้องส่งคีย์แมนไปคุมหรือคอยล้วงลูก จึงได้เห็นพลเรือนอย่างนายสุทิน คลังแสง เข้าไปเป็นเจ้ากระทรวง
ในส่วน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 3 คน มีการแบ่งงานแบบมีเป้าประสงค์ นายพิชิต ชื่นบาน เหมือนดูแลเรื่องกฎ ประกาศ และระเบียบราชการทั่วไปให้กับนายกฯ โดยกำกับดูแลสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา
ขณะที่ น.ส.จิราพร สินธุไพร เหมือนเอามาดูแลเรื่องสื่อโดยเฉพาะ โดยกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และกองทุนหมู่บ้าน
ด้าน นายจักรพงษ์ แสงมณี สายตรงนายเศรษฐา แม้งานไม่มาก แต่ดูภารกิจสำคัญ โดยกำกับดูแลสำนักงบประมาณ ภาพใหญ่อาจจะเป็นนายพิชัย ในฐานะรองนายกฯ แต่ในรายละเอียดอยู่ในการดูแลของนายจักรพงษ์ ซึ่งเหมือนถูกส่งมาเป็นหูเป็นตา และจัดแจงเรื่องงบประมาณต่างๆ
ภาพรวมการแบ่งงานครั้งนี้ ถ้าดูการวางคนตามกระทรวง และการแบ่งกรมให้รัฐมนตรีในสังกัดตัวเอง ดูเหมือนการกระชับแหล่งขุมทรัพย์สำคัญให้อยู่ในอำนาจการบริหารจัดการของตัวเองทั้งหมด มากกว่าเลือกตามความถนัดและความสามารถ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”
ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’
1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร
เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ
ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า
ภูมิใจไทยพลัส-เปิดเกมใหญ่ ชูรัฐมนตรีคนนอก ลุยเลือกตั้ง
บรรยากาศการเมืองปลายปี 2568 ต่อเนื่องต้นปี 2569 เดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งเตรียมเปิดรับสมัคร สส.ปลายเดือนธันวาคม ก่อนจะหย่อนบัตรในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 พรรคการเมืองต่างเร่งเปิดตัวผู้สมัคร นโยบายหาเสียง และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในช่วงโค้งสุดท้าย
‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’
‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

