ระดับแกนนำ“พรรคเพื่อไทย”ออกอาการอ้ำอึ้ง ไม่รู้ไม่เห็นกรณี “ทักษิณ ชินวัตร” ไปคุยกับชนกลุ่มน้อยเมียนมา ตั้งแต่ช่วงสงกรานต์เป็นต้นมา แต่สื่อตะวันตกต่างนำเสนอข่าวอย่างครึกโครม
โดยมีการรายงานข่าวว่า “ทักษิณ”ได้ พบตัวแทนกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง(KNLA) ,พรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (KNPP) และองค์การแห่งชาติคะฉิ่น (KNO) นอกจากนั้นยังพบกัน พล.อ.เจ้ายอดศึก ผู้นำสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน (RCSS/SSA) และตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์อีกหลายองค์กร
นอกจากนี้ ทักษิณยังได้พูดคุยกับตัวแทนสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ที่กรุงเทพฯ พร้อมกับ ซิน มา อ่อง รมว.ต่างประเทศ รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG)
ตามมาด้วย “เอกอัครราชทูตเมียนมา” ประจำประเทศไทย เพิ่งเข้าแสดงความยินดีกับ พลตำรวจเอก รอย อิงคะไพโรจน์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งประเด็นที่หารือคงหนีไม่พ้นสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา
รวมไปถึงกรณีที่ พลอากาศเอก ตุน อ่อง ผู้บัญชาการทหารอากาศเมียนมา เดินทางมาเยือนไทยตามคำเชิญของ พลอากาศเอก พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศของไทย โดยสื่อฝั่งเมียนมามีการนำเสนอภาพการตรวจแถวกองเกียรติยศ
มีรายงานว่า ทักษิณ ได้ทยอยเชิญแกนนำกลุ่มดังกล่าวเป็นรอบๆ และมีการส่งเอกสารไปให้กลุ่มที่ได้พูดคุยในภายหลังโดยมี “ล็อบบี้ยิสต์”เป็นผู้ประสานงานเดินเรื่อง อย่างน้อย 2-3 คน หนึ่งในนั้นคือ หัวหน้า ภ. อดีตนายทหารที่ทำธุรกิจชายแดนเมียนมามานาน
คีย์เวิร์ดที่ “ตรงประเด็น”และน่าจะเป็นหัวข้อที่คู่เจรจาต้องเงี่ยหูฟัง คือ การได้มาซึ่งเขตปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธ์ สิ่งที่สำคัญคือเรื่องการพัฒนาพื้นที่ให้เศรษฐกิจตรงนั้นเติบโต ทำให้ประชาชนภายใต้ปกครองของพวกท่านอยู่ดีกินดี และมีอาชีพในการเลี้ยงตัว
แต่ก็มีรายงานว่า ยังไม่มีกลุ่มไหนที่ส่งเอกสารกลับไป เพราะอย่างน้อยต้องมีการ “รีเช็คข่าว” ว่าทักษิณมีอำนาจตัดสินใจขนาดไหน ไม่ใช่แค่จับเสือมือเปล่าแล้วใช้ชนกลุ่มน้อยเป็นเครื่องมือในการสร้างราคาตัวเอง เพื่อนำไปสู่การเป็น “คนกลาง” จัดการปัญหาในเมียนมาให้ยุติ และค่อยไปประสานกับรัฐบาลทหารเมียนมาในภายหลัง
แต่ในความเห็นของ “สุทิน คลังแสง” รมว.กลาโหม มองว่า “ถ้าท่านทำจริงผมเชื่อว่าต้องรู้ทุกระดับ เพราะท่านเป็นคนมีบารมีไม่ใช่คนที่ไม่มีบารมี เป็นอดีตนายกฯ หากคิดจะทำอย่างนั้นคงจะคุยตั้งแต่หัวถึงหางจนจบ"นายสุทิน กล่าวเมื่อถามว่า พล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย รับทราบเรื่องนี้หรือไม่
การเดินในเกมนี้ของ “ทักษิณ” ย่อมมีเดิมพันที่สูงไปกว่าการทำให้กองกำลังฯหลายกลุ่ม และ ทหารเมียนมา ยินยอมพร้อมใจวางอาวุธ และ เอาตัวเลข “ผลประโยชน์”มากางบนโต๊ะเพื่อพูดคุยกัน แต่นั่นหมายถึงการเสนอ “ไอเดีย”ในมิติการเมืองในประเทศ และต่างประเทศ และ โมเดลธุรกิจที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
อย่าลืมว่าเม็ดเงินมหาศาลที่หล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจของเมียนมาทั้งแบบทางลับและเปิดเผย มาจาก”ยาบ้า” เมื่อมาผนวกกับการเติบโตธุรกิจของจีนเทา แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ทำให้ปริมาณเงินบาปจากการโกงมวลมนุษยชาติไหลบ่าเข้ามาพื้นที่ชายแดน ชนกลุ่มน้อยเองก็ได้รับอานิสงค์นี้ด้วย แต่ผลกระทบกับตกกับ ประเทศไทย เพราะสิ่งผิดกฎหมายเหล่านั้นบ่อนทำลายคุณภาพคนไทยมาต่อเนื่องหลายปี
ทุกรัฐบาลงัดทุกมาตรการขึ้นมาในการแก้ไขปัญหา ทั้งป้องกันและปราบปราม จนมายุคนี้ ก็วนกลับไปใช้แนวคิด “ผู้เสพเป็นผู้ป่วย”แต่ก็เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะ “ยาบ้า”ยังหาซื้อได้ง่ายในทุกชุมชน
เมื่อกลับไปมองในอดีตแนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยใช้วิธี“ฆ่าตัดตอน”กลายเป็นประเด็นที่ถูกผูกติดกับตัว “ทักษิณ” มาตลอด ท่ามกลางการตั้งคำถามในตอนนั้นว่าเหตุใด “ทักษิณ”ไม่กล้าแตะต้นทางประเทศผู้ผลิต แถมยังหันกลับเล่นงานหน่วยงานความมั่นคงที่เขย่าขวัญ -ปฏิบัติการทำลายแหล่งผลิตนอกประเทศ ในทำนอง “โอเว่อร์รีแอ้ค”
ขณะที่ “แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์-พนันออนไลน์”เมื่อมีการกวาดล้างก็มีการขยับฐานไปเรื่อยๆ ไม่สามารถปราบได้ เพราะปริมาณเม็ดเงินที่มหาศาล สามารถซื้อข้าราชการสีต่างๆ นักการเมือง จึงเป็นเรื่องยากที่จะหยุดยั้งกลุ่มอิทธิพลนี้ด้วยวิธีการปราบปราม หากคนในภาครัฐมีส่วนได้ส่วนเสีย
โมเดลการพัฒนาเพื่อสร้างเศรษฐกิจบนดินถูกงัดขึ้นมาใช้ โดยมีเป้าหมายการลดปริมาณการทำธุรกิจสีเทาลง และดึงกลุ่มชาติพันธ์เข้ามาสร้างรายได้กับเขตปกครองของตน โดยคาดหวังว่าจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่สร้างประวัติศาสตร์ให้ตัวเองในฐานะ “คนกลาง”สร้างสันติภาพ หยุดสงครามกลางเมือง เดินเข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนาบ้านเมืองกันเสียที
และผลพวงที่ได้คือ “กลุ่มธุรกิจ-การค้า-การลงทุน” ที่พร้อมจะลงหลักปักฐานเหล่า บรรดา “คนกลาง-นายหน้า”ก็ย่อมมีส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น
แต่อีกด้านคือการขยายอิทธิพลของจีนก็จะได้รับการตอกเสาเข็มแน่นหนามากขึ้นตามไปด้วย และนั่นอาจกลายเป็นแรงกดดันต่อมหาอำนาจอีกฝ่ายไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น และอาจเป็นตัวแปรที่ทำให้สงครามไม่จบลงง่ายๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ขี่กระแสชาตินิยม รวมบ้านใหญ่สู่รัฐบาล 4 ปี
“ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเอง”, “รัฐบาลสนับสนุนการทำหน้าที่ของกองทัพอย่างเต็มที่”, “นี่เป็นเรื่องของสองประเทศ ไม่ใช่เรื่องของคนนอก” และ “การหยุดยิงจะเกิดขึ้น ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ และต้องแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม”
ศึกชิง ‘เมืองกล้วยไข่’ ‘กล้าธรรม’ ปะทะ ‘รัตนากร’
1 ในพื้นที่เป้าหมายสำคัญของ ‘พรรคกล้าธรรม’ ภายใต้การนำของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรค และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรค คือ จ.กำแพงเพชร
เปิดขั้นตอนหย่อนบัตร8ก.พ.69 บัตร3ใบเลือกตั้งพ่วงประชามติ
ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูกาลการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อย่างเป็นทางการ โดยในครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่จะมีการเลือกตั้ง สส. พร้อมกับการทำประชามติหนึ่งเรื่องในวันเดียวกัน โดยกำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. ตามประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
'ภท.-ปชน.' แตกหักปม112 'พท.' ตัวแปรรอร่วมรัฐบาล
การเลือกตั้งวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 กำลังเดินหน้าเข้าสู่ช่วงโค้งสำคัญ พรรคการเมืองต่างเร่งนำเสนอนโยบาย แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และทีมรัฐมนตรี เพื่อขอโอกาสประชาชนเข้ามาบริหารประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า

