เพราะเมื่อย้อนดู 10 ข้อของนโยบายรัฐบาลนี้ ล้วนเต็มไปด้วย “อภิมหาโปรเจกต์” ที่ใช้เงินมหาศาล ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่คาบเกี่ยว สุ่มเสี่ยงที่จะผูกโยงกับเรื่องผลประโยชน์ด้วย
จบสิ้นไปแล้วสำหรับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 162 เป็นการตอกย้ำนโยบาย 10 ข้อเร่งด่วนของ “อุ๊งอิ๊ง”-แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ต้องเดินหน้าให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม
-การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบและในระบบที่ไม่ขัดต่อวินัยการเงิน และไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม
-ส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งต่างชาติ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มออนไลน์
-ออกมาตรการเพื่อลดราคาพลังงานและสาธารณูปโภค ด้วยการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน และเร่งปรับปรุงกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง ด้านขนส่งมวลชน จะกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมใน กทม. เพื่อรองรับนโยบายค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย รวมถึงรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
-สร้างรายได้ใหม่ นำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี
-เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
-ยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร
-เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์)
-แก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร
-เร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ
-ส่งเสริมศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง
-แจกเงินหมื่นผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวในรูปแบบใหม่ เช่น สถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) หรือกาสิโนถูกกฎหมาย หวังเงินใต้ดินมาอยู่บนดิน
เมื่อดูจากนโยบายที่แถลงแล้ว พอจะเห็นทิศทางของรัฐบาลว่า มุ่งเน้นไปที่เรื่องเศรษฐกิจ การสร้างเงิน สร้างรายได้ เพราะเชื่อว่าจะเป็นการตอบโจทย์ในเรื่องคะแนนนิยมของพรรคการเมืองไปด้วย
ที่น่าสนใจคือ รัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญในเรื่องการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปฏิรูประบบข้าราชการ, นโยบายสร้างความปรองดองและทลายทุนผูกขาดของประเทศ ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว
กระนั้น ก่อนที่จะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เหล่าบรรดารัฐมนตรีและทีมงานต่างเข้าประชุม ณ ที่ทำการพรรคชั่วคราวที่ตึกชินวัตร 3 ทุกวัน ท่ามกลางกระแสข่าวว่า บทบาทสำคัญในการเคาะนโยบายนอกจาก “หัวกะทิ” ทีมยุทธศาสตร์พรรคแล้ว ว่ากันว่าหนึ่งในนั้นยังมี “ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นพ่อร่วมอยู่ด้วย
จึงปฏิเสธได้ยากว่า นโยบายที่ประกาศออกมานั้นเป็นวิสัยทัศน์ของอุ๊งอิ๊งที่กำหนดออกมาด้วยตัวเอง หากแต่เป็นไอเดียของอดีตนายกฯ ผู้เป็นพ่อ ที่กำหนดไว้แล้ว เพื่อให้ทีมงานได้กำหนดรายละเอียดเป็นเอกสาร และจัดทำเป็น “โพย” ให้นายกฯ ได้แถลง
"ผมอยากให้ท่านนายกรัฐมนตรีพูดนอกสคริปต์ที่เจ้าหน้าที่เตรียมมา ซึ่งผมเข้าใจว่าต้องทำ เพราะข้อบังคับตามกฎหมาย แต่ท่านสามารถลุกขึ้นตอบได้นอกสคริปต์ ผมอยากให้ท่านแสดงบทบาทความเป็นผู้นำ ผู้นำที่ดีนอกจากการฟังสมาชิกหรือรับฟังความเห็นแล้ว ต้องชี้นำความคิดที่ถูกที่ควรให้กับสมาชิกและสังคมด้วย” นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ระบุ
สอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของนายกฯ ที่ระบุเรื่อง วิสัยทัศน์ที่ดี ไม่ว่าจะเป็นของใครก็เอามาใช้ได้ หลังจากที่ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อยู่เบื้องหลังการบริหารงาน
ถ้าเป็นฝ่ายค้านยุคก่อนเชื่อว่า “อุ๊งอิ๊ง” คงถูกรุมสกรัม โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม แต่เมื่อนายกฯ คือลูกของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่ใช่ศัตรูตัวจริงของพรรคส้ม ทำให้ “น้ำหนักมือ” ในการอภิปรายจึงถูกยั้งลงบ้าง จึงเห็นแค่วาทกรรมแซะความเป็นคุณหนูถือสคริปต์เท่านั้น พร้อมพุ่งเป้าไปที่เนื้อในของนโยบาย ซึ่งเป็นงานรูทีนที่ต้องตั้งคำถามเท่านั้น
ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์แบบเบาๆ ไม่มีการล้วงลึก หรือตรวจสอบที่มาในการจัดทำนโยบาย รวมถึงเช็กความเข้าใจต่อวิสัยทัศน์ที่แสดงต่อนโยบายว่ามีส่วนมาจากนายกฯ จริงหรือไม่
แต่ก็ใช่ว่านายกฯ จะทำทุกอย่างได้อย่างสะดวกสบาย เพราะมีทีมงานในการ ซัพพอร์ต ทุกเรื่อง เพราะวิกฤตเฉพาะหน้าอันเกิดจากสถานการณ์น้ำท่วม ยังเป็นบทพิสูจน์ภาวะผู้นำว่ามองเห็นภาพรวมของปัญหาหรือไม่ เพื่อที่จะบริหารงาน สั่งการได้อย่างเป็นระบบ
เหล่านั้นเป็นการแสดงออกถึง “วุฒิภาวะ” ของนายกฯ ว่ามีมากพอหรือไม่ เพราะหลายฝ่ายก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าเจ้าตัวมัวแต่ให้ความสำคัญกับการนำเสนอเรื่องราวชีวิตของตนเองผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ในช่วงเวลาที่ภาพแห่งความทุกข์ระทมของคนถูกน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือเต็มฟีดไปหมด
อย่างไรก็ตาม แม้วันนี้ฝ่ายต่อต้าน ระบอบทักษิณ จะอ่อนแรง และหวังพึ่งท่อน้ำเลี้ยงสุดท้ายที่บ้านป่ารอยต่อฯ ซึ่งกำลังเจอสงคราม “คลิปหลุด”
หรือมองว่าตัวเองได้เปรียบเพราะได้รับ สัญญาณพิเศษ ในการหนุนให้เป็นหัวหลักในการขับเคลื่อนรัฐบาลขวางพรรคส้ม
แต่ก็อย่าเพิ่งประมาทว่ากลุ่มต้านระบอบทักษิณจะรวมตัวกันไม่ติด
เพราะเอาเข้าจริง “หัวเชื้อ” ที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามจุดติด ก็คือพฤติกรรมและการกระทำของรัฐบาลภายใต้การนำของคน “ชินวัตร” นั่นเอง
เพราะเมื่อย้อนดู 10 ข้อของนโยบายรัฐบาลนี้ นอกจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ยังเต็มไปด้วย อภิมหาโปรเจกต์ ที่ใช้เงินมหาศาล ส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องที่คาบเกี่ยว สุ่มเสี่ยงที่จะผูกโยงกับเรื่องผลประโยชน์และคอนเนกชันด้วย
ในส่วนของดิจิทัลวอลเล็ตที่ปรับเป็นการ แจกเงินหมื่น ให้กับกลุ่มเปราะบางในเฟสแรกวันที่ 25 ก.ย.2567 ก็เพราะสถานการณ์และเวลาบีบบังคับ หากไม่เร่งดำเนินการสิ่งที่ประกาศไว้ให้เป็นรูปธรรม กระแสโจมตีก็พุ่งไปที่ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ซึ่งเชื่อว่าคนที่ดูแลปกป้องอยู่คงไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น
แต่การเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตในเฟสที่ 2 และ 3 เพื่อให้ครอบคลุมผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด อาจต้องใช้เวลาดำเนินการไปถึงปีหน้า เพราะแม้แต่ รมต.ที่กำกับดูแลยังไม่สามารถตอบได้ว่า รูปแบบ รายละเอียด และเวลาที่แน่ชัดจะเป็นเมื่อไหร่
ความคาดหวังที่จะให้เกิดเป็น “พายุหมุน” เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นมาจึงยังต้องลุ้นต่อไป จึงเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายเฝ้าจับตามองว่าจะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
อย่างที่บอกว่า สิ่งที่ต้องจับตามองคือ อภิมหาโปรเจกต์อย่าง “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์-แลนด์บริดจ์” ที่ต้องระดมเม็ดเงินมหาศาลในการรวมทุนกับเอกชน ทุนไทยและทุนต่างชาติ จะกลายเป็นประเด็นที่ถูกตรวจสอบว่าใครที่ได้รับการแบ่งสันปันส่วนเค้กก่อนนี้
รวมถึงการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน
ซึ่งเป็นประเด็นอ่อนไหว และหลายฝ่ายก็จับตามองเรื่องนี้มานาน ด้วยเครือข่ายความสัมพันธ์ส่วนตัวของสองตระกูล สุ่มเสี่ยงเกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งฝ่ายต้านระบอบทักษิณสามารถใช้เป็น “เชื้อไฟ” ในการปลุกพลัง “ชาตินิยม” ขึ้นมาได้ง่าย
ที่สำคัญคือ “เค้าลาง” ของการ ผูกขาด-กินรวบ เช่นที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และเป็นบทเรียนของพรรคร่วมรัฐบาลต่างชิงพื้นที่ของตัวเองตีตราจองไว้ล่วงหน้า ทั้งในระบบราชการและกระบวนการนิติบัญญัติตุนเอาไว้ แต่ก็เชื่อว่าในอนาคตจะมีการชิงกลไกเหล่านี้กลับคืนเพื่อสร้างความมั่นคงทางการเมืองให้กับทายาทในการเลือกตั้งครั้งหน้า
เมื่อดูจากสภาพการณ์แล้ว “ทักษิณ” ย่อมต้องทำทุกอย่างเพื่อปูทาง เสริมความแข็งแกร่งให้เก้าอี้นายกฯ ของ “ลูกอิ๊งค์” ให้ทำหน้าที่ครบเทอม พร้อมกับสกัดศัตรูทางการเมืองที่จะโค่นล้มให้พ้นทาง พร้อมๆ ไปกับการสร้างความนิยมให้พรรคเพื่อไทยผ่านการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ขึ้นอยู่กับว่านายกฯ อิ๊งค์จะทนแรงเสียดทานได้มากน้อยแค่ไหน และฝ่ายตรงข้ามจะสบช่องการใช้นิติสงครามเล่นงานได้หรือไม่
หรือในที่สุด ทักษิณอาจต้องออกโรง คัมแบ็กกลับมานั่งบัญชาการเองในตำแหน่งนายกฯ เมื่อมีการเคลียร์กติกา กฎหมาย รธน. เพื่อเปิดทางให้ตัวเองกลับมามีอำนาจอย่างเปิดเผยอีกครั้ง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘หนู’ ลั่นฟังแค่ ‘อิ๊งค์’ ยันร่วมรัฐบาลเป็นไฟต์บังคับ ‘ทักษิณ’ พูดไม่นำพา
"อนุทิน" ลั่น! รับสัญญาณจากนายกฯ อิ๊งค์เท่านั้น ยันที่ "ทักษิณ" พูดไม่ได้หมายถึงรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย "ท่านทักษิณพูดถึงพรรคที่ไม่เข้าร่วมประชุม ผมก็ไม่นำพาไปฟังอะไรมาก"
รัฐบาลลุยขายฝันหนีบ่วงการเมือง แกนนำม็อบขยับจัดทัพเดินหน้าไล่
การแถลงผลงานรัฐบาลในรอบ 3 เดือนของ อุ๊งอิ๊ง-น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายใต้ชื่อ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง” ที่สตูดิโอ 4 สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT)
'อนุทิน' ยันไม่ใส่ใจคำพูด 'ทักษิณ' โชว์ห้าวตะเพิดพรรคร่วมฯ ขอฟังแค่นายกฯอิ๊งค์
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวผ่านรายการข่าวเที่ยง ทางไทยพีบีเอส ถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในการสัมมนาพรรคเพื่อ
ชี้เปรี้ยง ’ทักษิณ’ โชว์ฟอร์มไม่ง้อพรรคร่วมรัฐบาล-เอาใจชนชั้นนำ!
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส. นครศรีธรรมราชโพสต์เฟซบุ๊กเรื่อง “ทักษิณ โชว์ฟอร์ม ไม่ง้อพรรคร่วม
แม้วยันเกาะกูดของไทย ไม่ใช่‘ควาย’ยกให้เพื่อน
“ทักษิณ” ลั่นล้านเปอร์เซ็นต์เกาะกูดเป็นของไทย ใครจะบ้ายกให้
'ทักษิณ' ลั่นมีแต่ควายเท่านั้น ยกประเทศให้เพื่อนบ้าน บอกกัมพูชาลากเส้นไม่ถูก
นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะวิทยากรพิเศษ บรรยายพิเศษหัวข้อ สถานการณ์ทิศทางโลกและการปรับตัว โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ตนไม่ได้ครอบงำนายกรัฐมนตรี