แก้รธน.งานสุดหิน พรรคร่วมฯโดดหนี

“พรรคเพื่อไทย” จุดพลุยื่นต่อรัฐสภา ขอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา หยั่งกระแสสังคม เห็นด้วยหรือไม่ อย่างไร

สาระสำคัญใหญ่ๆ ประกอบด้วย แก้ไขมาตรา 98 ว่าด้วยบุคคลต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้ง เป็นดังนี้ (7) ห้ามบุคคลที่ต้องโทษจำคุกโดยพ้นโทษไม่ถึง 10 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดที่ทำโดยประมาท หรือลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

นอกจากนี้ยังเสนอ แก้ไขมาตรา 160 ว่าด้วยคุณสมบัติของรัฐมนตรี ใน 3 ประเด็น ให้เป็นดังต่อไปนี้ (4) รัฐมนตรีต้องไม่มีพฤติกรรมหรือการกระทำที่ประจักษ์ว่า ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต จากเดิมที่กำหนดว่ารัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์

(5) รัฐมนตรีต้องไม่มีคดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินการในศาลฎีกา และให้ยก (7) ว่าด้วยไม่ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอลงโทษ เว้นแต่ทำผิดโดยประมาท ความผิดลหุโทษหรือ ความผิดฐานหมิ่นประมาท ไปบัญญัติในมาตรา 170 ว่าด้วยเหตุความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง

รวมถึงแก้ไขกลุ่มมาตราที่เกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตและจริยธรรมที่กำหนดเป็นคุณสมบัติของรัฐมนตรี คือ มาตรา 201 มาตรา 202 มาตรา 222 มาตรา 228 มาตรา 232 มาตรา 238 และมาตรา 246

อย่างไรก็ตาม แก้ไขมาตรา 211 อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยกรณีสมาชิกภาพ สส.-สว.สิ้นสุดลง หรือความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว และฝ่าฝืนตามมาตรา 144 แปรญัตติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของตุลาการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จากเดิมที่ใช้เสียงข้างมาก และให้แก้ไขเรื่องคำวินิจฉัยที่ผูกพันองค์กร ให้ผูกพันเฉพาะประเด็นหลักโดยตรงของเรื่องเท่านั้น

แก้ไขมาตรา 235 กรณีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติของ สส. ให้กำหนดระยะเวลาใหม่ โดยตัดสิทธิสมัคร สส. เหลือ 5 ปี และไม่มีเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

ที่สำคัญ แก้ไขมาตรา 255 ให้สามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สามารถทำได้ และแก้ไขมาตรา 256 (8) กำหนดให้ประเด็นดังต่อไปนี้ หากแก้ไขจะต้องทำประชามติ คือ หมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ และการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้ทำประชามติ จากเดิมที่กำหนดประเด็นเกี่ยวกับคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจของศาลหรือองค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติหน้าที่หรืออำนาจนั้นรวมอยู่ด้วย

ภายหลัง “เพื่อไทย” มุบมิบยื่นเรื่องสำคัญแบบเงียบๆ ผ่านเจ้าหน้าที่ส่วนงานสารบรรณ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็มีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่าย เช่นเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ และพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออกมาไม่เห็นด้วย กลายเป็นว่า เรื่องนี้มีเพียงพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และ สว.จำนวนหนึ่งที่เห็นด้วย

งานนี้ก็ต้องจับตาดูว่า วันที่ 1 ต.ค. ที่ “กุนซืออ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เรียกประชุมพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อพูดคุยการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ จะสามารถโน้มน้าวให้พรรคร่วมรัฐบาลคิดใหม่หรือเปลี่ยนใจได้หรือไม่

หากพรรคร่วมรัฐบาลยังแน่วแน่ตามจุดยืนเดิม ความฝันของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนที่จะแก้ไขก็สลายทันที เพราะหลักเกณฑ์และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเขียนล็อกไว้หลายชั้น จนแทบจะแก้ไขไม่ได้เลย เว้นแต่ สส., สว.จะเห็นพ้องพร้อมเพรียงกัน

เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) กำหนดว่าประเด็นที่ขอแก้ไขข้างต้น ก่อนจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย จะต้องนำไปออกเสียงประชามติเสียก่อน และถ้าผลการออกเสียงเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ จึงค่อยดำเนินการในขั้นตอนต่อไป

ทว่า ยังมีการล็อกที่ถือว่าเป็นงานยากงานหินอีกชั้น คือ มาตรา 256 (6) การพิจารณาของ 2 สภาในวาระที่สามนั้น สมาชิกต้องเห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ และในจำนวนนี้ต้องมี สส.ฝ่ายค้าน ประธานสภาฯ หรือรองประธานสภาฯ เห็นชอบด้วยไม่น้อยกวาร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน และมี สว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา

นี่ยังไม่รวมเสียงคัดค้านจากภาคส่วนต่างๆ บ้างก็ว่าจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวสร้างความขัดแย้งครั้งใหม่ให้แก่สังคม เพราะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบสุดซอย เอื้อประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้อง โดยเฉพาะในสายตาประชาชนที่มองว่าพรรคเพื่อไทยมีทั้งแผลเก่า แผลใหม่เกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตและจริยธรรม ฉะนั้น เรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ของพรรคใหญ่ทั้งสองพรรคที่จะฝ่าฟันไปได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

‘บิ๊กป้อม’ ถอย ดัน ‘ตรีนุช’ เลือกตั้งสุดท้ายของ ‘พปชร.’

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ประกาศถอนตัวจากการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ทั้งที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะถึงวันรับสมัคร สส.แบบแบ่งเขต และบัญชีรายชื่อ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดในวันที่ 27-28 ธันวาคมนี้

คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568

‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง

ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ

ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี

นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง

หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี

แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน

แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"