เป็นอีกหนึ่งคดีที่ท้าทายสำหรับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลังมีมติแต่งตั้ง องค์คณะไต่สวน ซึ่งประกอบด้วยกรรมการ ป.ป.ช.ทุกคน เพื่อตรวจสอบกรณีกล่าวหานายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหมด 12 คน ส่งตัวผู้ต้องขัง นายทักษิณ ชินวัตร จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจโดยมิชอบ และให้นายทักษิณอยู่รักษาที่โรงพยาบาลตำรวจจนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่เจ็บป่วยจริง
ในจำนวน 12 คนนี้ ประกอบด้วย 1.นายสหการณ์ 2.นายสิทธิ สุธีวงศ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 3.นายชาญ วชิรเดช รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ 4.นายนัสที ทองปลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 5.พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ เมื่อครั้งนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ 6.พล.ต.ท.ทวีศิลป์ 7.พ.ต.อ.ชนะ จงโชคดี นายแพทย์ (สบ 5) โรงพยาบาลตำรวจ แพทย์เจ้าของไข้ และผู้ออกใบความเห็นแพทย์ 8.พล.ต.ต.สามารถ ม่วงศิริ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ผู้ออก ใบความเห็นแพทย์ 9.นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 10.พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ผู้ตรวจร่างกายขณะรับตัวผู้ต้องขังใหม่ 11.นายสัญญา วงค์หินกอง พัศดีเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และ12.นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
การตั้งองค์คณะไต่สวนครั้งนี้ยังไม่มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เพราะยังไม่ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งในขณะนั้น
แต่อย่างไรก็ดี ป.ป.ช.สามารถขยายการตรวจสอบไปยังผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ได้อีก นอกเหนือจาก 12 คนดังกล่าว
ที่ผ่านมาการใช้รูปแบบ "องค์คณะไต่สวน" ของ ป.ป.ช.จะใช้ในคดีใหญ่ๆ ผู้ถูกกล่าวหามีตำแหน่งสำคัญ อย่างเช่น นายกรัฐมนตรี รองนายกฯ และรัฐมนตรี ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาครั้งนี้เป็นเพียงหัวหน้าส่วนราชการ ปกติจะใช้เพียง อนุกรรมการไต่สวน ฉะนั้น การตั้งองค์คณะไต่สวนในคดีนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ในมุม ป.ป.ช.นั้นมองว่าเป็นเรื่องใหญ่
ซึ่งไม่แปลก เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจ อีกทั้งคนที่ถูกกังขาว่าได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐเป็นถึงระดับ อดีตนายกฯ
คดีนี้ในมือ ป.ป.ช.ถือว่ามีความสำคัญมาก การชี้มูลหรือไม่ชี้มูล นอกจากมีผลต่อตัวเจ้าหน้าที่ที่ถูกกล่าวหาแล้ว ยังมีผลในทางการเมืองด้วย
จะเป็นประเด็นที่สั่นสะเทือนกระบวนการยุติธรรมในประเทศ เพราะหาก ป.ป.ช.ชี้มูลบรรดาคนเหล่านี้ มันจะเกิดประเด็นตามมาว่าแล้วจะดำเนินการอย่างไร "ทักษิณ" ที่ไม่ได้ป่วยจริง และไม่ได้ติดคุกจริง
ขณะที่ฝ่ายต้านย่อมไม่ยอมอยู่เฉย จะมีการหยิบจับประเด็นนี้มาเป็นเงื่อนไขในการปลุกระดม เพราะเป็นเรื่องที่แตะความรู้สึกของคนได้ง่ายในแง่ความเหลื่อมล้ำ
แต่หาก ป.ป.ช.ตีตก มันจะเป็นการยุติมหากาพย์เรื่องป่วยทิพย์ชั้น 14 ที่ "ทักษิณ" ตลอดจนพรรคเพื่อไทย จะหมดชนักเรื่องนี้ไป ไม่ต้องกังวลว่าใครจะตลบหลังหรือหักหลัง
ถือเป็นแรงกดดันที่หนักอึ้งของ ป.ป.ช. เพราะผลการตรวจสอบสามารถกำหนดทิศทางการเมืองในประเทศได้เลย ในฐานะที่ "ทักษิณ" คือคนที่กำลังทรงอิทธิพลทางการเมืองอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน "ป.ป.ช." อยู่ระหว่างเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากชุดเก่าไปสู่ชุดใหม่ ซึ่งกรรมการ ป.ป.ช.ชุดเก่าหลายคนถูกเชื่อมโยงว่ามีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ "คนบ้านป่า" ขณะที่กรรมการ ป.ป.ช.ชุดที่กำลังผ่านมือวุฒิสภาเพื่อเข้ามาแทนคนเก่า ถูกคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นคนของเครือข่ายสีน้ำเงินที่กุมสภาสูงไว้
ซึ่งมีการมองว่า หากคดีนี้ยังอยู่ในมือของขั้วอำนาจเก่า ผู้ถูกกล่าวหา ตลอดจน "ทักษิณ" อาจจะหนาวๆ ร้อนๆ แล้ว เพราะเปิดฉากรบกันเต็มตัว
แต่ดูแล้วคดีนี้น่าจะใช้ระยะเวลาพอสมควร คงไม่เสร็จง่ายๆ เนื่องจากต้องมีคำตอบที่กระจ่างให้สังคม ฉะนั้น มันอาจจะไปจบในยุคที่คนของเครือข่ายสีน้ำเงินเข้ามาครองเสียงส่วนใหญ่แล้ว
และการมาอยู่ในมือเครือข่ายสีน้ำเงิน อาจจะนำมาสู่การต่อรองทางการเมืองได้ เพราะทั้งพรรคสีแดงและพรรคสีน้ำเงินต่างก็ขบเหลี่ยมกันอยู่
ขณะที่ในอีกมุมหนึ่งก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งองค์คณะไต่สวนครั้งนี้เพื่อตั้งต้นตรวจสอบอย่างเป็นทางการ เป็นการสยบความเคลื่อนไหวภายนอกของฝ่ายต้าน "ทักษิณ" ที่ยังตีเรื่องประเด็นป่วยทิพย์ชั้น 14 ชนิดกัดไม่ปล่อย
ในเมื่ออยู่ใน ป.ป.ช. ในฐานะองค์กรตรวจสอบแล้วทุกฝ่ายควรรอฟัง
ซึ่งดูเหมือนคนที่เกี่ยวข้องอย่าง พ.ต.อ.ทวี จะไปในทิศทางนี้ หลังระบุว่าเป็นเรื่องดีที่ ป.ป.ช.ตั้งไต่สวน
“ได้เคยสอบถามไปว่า หากมอบหลักฐานไปแล้วและมีการนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง ก็จะนำเรื่องนี้ไปส่งมอบให้กับ ป.ป.ช. และผมเชื่อมั่นว่า ป.ป.ช.จะอยู่บนเหตุผลและข้อมูล ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ต่อไปนี้ประเด็นนี้จะเข้าสู่กระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย”
อีกส่วนมองไปถึงขั้นว่า เป็นการนำเข้ามาเพื่อให้ ป.ป.ช. "รับจบ"
ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามันก็มีเรื่องความหวาดระแวงนี้อยู่เหมือนกัน เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวลือในลักษณะว่ามีความพยายามแทรกแซง ป.ป.ช.เพื่อให้ยุติคดีนี้ จนทั้งประธานกรรมการ ป.ป.ช.และเลขาธิการ ป.ป.ช.ต้องออกมาชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง
คดีนี้จึงมีอิมแพ็กต์ต่อการเมืองมาก ผลของมันไม่ว่าออกทางใดต้องมีคำตอบและความกระจ่าง เพราะถ้าได้คำตอบแบบ "จบแต่ไม่จบ" อาจจะกลายเป็นการเปิดประเด็นใหม่อีก
และตัว ป.ป.ช.เองก็อาจจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยของสังคมได้เหมือนกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"
ได้ทุกขั้ว-เสบียงกรัง-อำนาจ เมินกระแส สส.แห่ซบ‘กล้าธรรม’
นอกจาก ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มี ‘แม่เหล็ก’ ดึงดูดอดีต สส.และนักการเมือง ในการเลือกตั้งครั้งนี้แล้ว ‘พรรคกล้าธรรม’ อาณาจักรของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาพรรค เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มีผู้คนพาเหรดเข้ามาเป็นองคาพยพ
โจทย์หิน3แคนดิเดตนายกฯพท. ลูกเจ๊แดงโปรไฟล์ดีแต่มีข้อกังขา!
หลังพรรคเพื่อไทยเปิดตัว ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ลูกชายเจ๊แดง-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวทักษิณ ชินวัตร และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา
เพื่อไทย ชูเครือญาติ 'ชินวัตร' นั่งแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1
"เพื่อไทย ชู "ยศชนัน" นั่งแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ชี้ไม่เป็นปัญหาถูกมองหนีไม่พ้นตระกูลชินวัตร ลั่นเป็นโอกาส-จุดเด่น รับเป็นหน้าใหม่การเมือง เชื่อเวลา 2 เดือน ชนะใจปชช.ได้ พร้อมยัน ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา” ด้าน “สุริยะ” ยังมั่นใจ ถึงเป้า 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ประกาศพร้อมฝ่าด่านอำนาจรัฐ กระสุน กระแสชาตินิยม สู่ชัยชนะด้วยนโยบาย
พรรค‘ปชน.’ขอโทษจากใจ วอน‘ประชาชน’ไปต่อด้วยกัน
ภาพที่หัวหน้าพรรคสีส้มทุกยุคสมัยมาปรากฏตัวพร้อมหน้าบนเวทีเดียวกันไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก เอาเข้าจริงอาจจะยิ่งกว่าเวทีปราศรัยใหญ่ก่อนเลือกตั้งทุกครั้งด้วยซ้ำ เพราะในกิจกรรม

