ภายหลัง “ชำนาญวิทย์ เตรัตน์” รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เซ็นคำสั่งเพิกถอนที่ดินอัลไพน์ ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.ที่ผ่านมา
ขณะที่กรมที่ดินเด้งรับลูกทันที พร้อมกำหนดแนวทางต่างๆ อาทิ ให้วัดธรรมิการามวรวิหาร บรรเทาความเสียหายแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อาทิ ให้เช่าที่ดิน ออกหนังสือรับรองทรัพย์อิงสิทธิ์ หรือโอนที่ดินโดยออกพระราชบัญญัติ โอนที่ดินให้เอกชน ตามความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา
รวมถึงชี้ช่องให้ฟ้องชดใช้ค่าสินไหม เอาเงินจากกระทรวงมหาดไทยและกรมที่ดิน หลังได้มีการเปิดเผยค่าเสียหายตามมูลค่าราคาตลาด อยู่ที่ 7,700 ล้านบาท แบ่งเป็นทรัพย์ตามมูลค่าตลาดประมาณ 7,228 ล้านบาท และทุนทรัพย์จำนอง 439.05 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินอัลไพน์จำนวน 533 ราย และผู้รับจำนองอีก 30 ราย
ขณะที่ อธิบดีกรมที่ดินก็ออกมายอมรับว่าในเรื่องเงินชดเชยจำนวน 7,700 ล้านบาทอาจต้องเสนอผ่าน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งงบประมาณเอาไว้
อย่างไรก็ตาม การออกมาเคลื่อนไหวของกรมที่ดินในเรื่องนี้ ถูกมองจากฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณว่ามีวาระแอบแฝง จะซ้ำรอยจ่ายค่าโง่อย่างเช่นในหลายโครงการทุจริตในอดีต หรือเป็นทฤษฎีสมคบคิด “เตะหมูเข้าปากหมา” ให้ใครบางคนได้รับประโยชน์
เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นของครอบครัวชินวัตร และก่อนหน้า “อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เป็นผุู้ถือหุ้นใหญ่ 30% ในบริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ คิดเป็น 22 ล้านหุ้น มูลค่าตามทุนจดทะเบียน 224.1 ล้านบาท
ก่อนจะโอนให้มารดา “คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์” รวมถึงยังมีผู้ถือหุ้นอื่นๆ คือ “พี่ชาย” นายพานทองแท้ ชินวัตร และ “พี่สาว” นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์
ทั้งนี้ก่อนหน้า “ทักษิณ ชินวัตร” พ่อนายกฯ เคยซื้อที่ดินตั้งแต่ปี 2540 ในราคาประมาณ 500 ล้านบาท ต่อจาก “นายชูชีพ หาญสวัสดิ์” และ “นางอุไรวรรณ เทียนทอง” ภรรยานายเสนาะ เทียนทอง ขณะนั้นที่ซื้อมา 130 ล้านบาท จากวัดธรรมิการามวรวิหาร อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เมื่อ 20 พ.ย.2512
ล่าสุด “พ่อนายกฯ” ออกมายอมรับว่าแนวทางของกรมที่ดินต้องการรับเงินชดเชยและยืนยันว่าได้รับมาโดยสุจริต เพราะไม่ได้รับมาเป็นมือแรก
ประเมินได้ว่าสิ่งที่ “ทักษิณ” ตอบรับแนวทางชดเชยดังกล่าว เพราะกำไรที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากมูลค่าที่ดินและการพัฒนา ขณะที่ดินอัลไพน์เปรียบเป็นที่ดินบาป และไม่สามารถทำนิติกรรมอะไรได้เพราะถูกขึ้นบัญชีดำ
นอกจากนี้ตั้งแต่ “ครอบครัวชินวัตร” ในฐานะผู้ครอบครอง ก็ถูกลากเข้ามาโจมตีทางการเมืองโดยตลอด รวมถึง “นายกฯ อิ๊งค์” ยังถูกยื่นตรวจสอบว่าขัดจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะถูกกล่าวหาว่าฮุบที่ดินธรณีสงฆ์หรือไม่ และหากมีความผิดก็สุ่มเสี่ยงถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตอีกด้วย
ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงเป็นเหตุให้ “นายใหญ่” ที่ระบุว่าเป็นเจ้าของที่ดินอัลไพน์ บอกว่า “รำคาญ อยากให้ตัดจบโดยเร็ว”
แม้ “พ่อนายกฯ” ต้องการให้ตัดจบเพื่อหวังรับเงินชดเชย ฟันกำไรแบบเหนาะๆ แต่ความจริงคงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยังมีข้อถกเถียงว่ากรมที่ดินจะสามารถเสนอเรื่องตั้งงบประมาณจำนวน 7,700 ล้านบาท เพื่อเข้าสู่การพิจารณาได้หรือไม่
ไม่ว่าจะเป็น การเสนองบกลาง (อำนาจ ครม.), การออก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี (ครม.เห็นชอบก่อนส่งให้รัฐสภา), ออก พ.ร.บ.โอนที่ธรณีสงฆ์ให้เอกชน (อำนาจ ครม. ก่อนส่งต่อให้รัฐสภา) ที่ล้วนแล้วมี “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ นั่งหัวโต๊ะ เกี่ยวข้องในการพิจารณาทั้งสิ้น
เช่นเดียวกับกรณีเรื่องกฎหมายต่างๆ เช่น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี หรือออก พ.ร.บ.โอนที่ธรณีสงฆ์ให้เอกชน เมื่อผ่านความเห็น ครม.เพื่อเข้าสู่การพิจารณาในสภา
เมื่อถามใจ สส.เพื่อไทยจะกล้าเห็นชอบหรือไม่ ต้องไม่ลืมว่าอีกสถานะของนายกฯ ก็คือหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
จึงสรุปได้ว่า ทั้งส่วนขั้นตอน ครม.และสภา อาจถูกร้องเข้าข่าย “ขัดกันแห่งผลประโยชน์” หรือ (conflict of interest) หรือไม่ เพราะนายกฯ อาจมีส่วนเอื้อประโยชน์ให้คนในครอบครัว
ดังเช่น “ถาวร เสนเนียม” อดีต รมช.มหาดไทย ที่เคยรับผิดชอบคดีที่ดินอัลไพน์ในอดีต ออกมาเตือนว่า ทักษิณไม่สามารถเรียกค่าเสียหายเอาเงินหลวงจากกรมที่ดินได้
แต่ผู้เสียหายต่างๆ ต้องพิสูจน์ว่าได้รับความเสียหาย และไปฟ้องเรียกเงินจากผู้กระทำผิด เช่น เจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าหน้าที่กรมที่ดิน คณะกรรมการมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยฯ ในฐานะผู้จัดการมรดก ฯลฯ
เนื่องจากศาลปกครองสูงสุดและคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยวินิจฉัยว่า การโอนที่ธรณีสงฆ์ให้เอกชนเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง มาตรา 150 ฉะนั้นการกระทำอะไรหลังจากนั้นจึงไม่มีผลทางกฎหมาย และเสียเปล่าไปตั้งแต่ต้น
“นายทักษิณไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย วัดต่างหากที่ต้องเรียกค่าหาย เพราะนายทักษิณนำพื้นที่ไปแสวงหาผลประโยชน์ ที่เรียกว่าลาภมิควรได้ ฉะนั้นอย่าข่มขู่คุกคาม จะบอกว่าไม่มีใครกลัวแล้ว ชีวิตของนายทักษิณไปรับสารภาพไว้ตลอด อย่างน้อย 4-5 คดีที่ถูกศาลพิพากษาให้จำคุก และถ้าอธิบดีคนใดจ่ายก็ติดคุก ถ้าตั้งงบประมาณแผ่นดินไปจ่ายเรื่องนี้ ก็ติดคุกกันทั้งสภา ถ้าผ่านกฎหมายงบประมาณ” อดีต รมช.มหาดไทย กล่าว
เมื่อฟังเสียงเตือนดังกล่าวแล้วยังจะมีรัฐมนตรีและ สส.คนไหนยอมเป็นเลือดสุพรรณ กล้าเสี่ยงไปพร้อม “แพทองธาร” ที่สุ่มเสี่ยงกระทำขัดกันแห่งผลประโยชน์ ยอมเสียค่าโง่ หวังชดเชยเงินหลวงให้ “ครอบครัวชินวัตร” ตามความต้องการของ “ทักษิณ” ที่ต้องการตัดจบที่ดินอัลไพน์หรือไม่.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
คิกออฟเลือกตั้ง69เช็กความพร้อมกกต. เปิดคู่มือผู้สมัครสส.ก่อนออกหาเสียง
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ครั้งใหม่ หลังจากพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ธ.ค.2568
‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง
ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ
'โอ๊ค' เข้าเยี่ยม 'ทักษิณ' คุยเรื่องหลานๆ พร้อมฝากให้กำลังใจ 'ยศชนัน'
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน กรุงเทพมหานคร ระหว่างการเดินทางเข้าเยี่ยม นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการเข้าเยี่ยมครั้งที่ 27 ภายหลังถูกคุมขังครบ 3 เดือน เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา การเข้าเยี่ยมครั้งนี้มี นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือโอ๊ค บุตรชายคนโตของนายทักษิณ ชินวัตร
ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี
นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"

