‘เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ เมกะโปรเจกต์ของรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เจอแรงต้านขึ้นเรื่อยๆ
ล่าสุดศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชนเกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex)
โดยทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20-21 มกราคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 59.16 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยทั้งสถานบันเทิงครบวงจรและกาสิโน ขณะที่เห็นด้วยเพียงร้อยละ 28.93 เท่านั้น
ผลสำรวจดังกล่าวยิ่งไปสอดคล้องกับปฏิกิริยาของสังคมในตอนนี้ที่เริ่มออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านมากขึ้น จนมีการเสนอว่า ให้มีการ ‘ทำประชามติ’
เพราะเรื่อง เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือ เปิดบ่อนกาสิโน และ พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ถือเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย มีผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และมิติอื่นๆ ในวงกว้างจำนวนมาก
โดยมีการหยิบยกรายงานผลการศึกษา ผลงานวิจัยในอดีตที่มีการทำขึ้นมา เอามางัดง้างว่า กาสิโนมีผลกระทบต่อสังคมมากมาย
ในนโยบายของพรรคเพื่อไทยในการหาเสียงเลือกตั้ง ปี 2566 ไม่ได้รายงานต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตามมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 แต่อย่างใด
อีกทั้งในนโยบายของรัฐบาลที่มีการแถลงต่อรัฐสภาไว้ ไม่ได้มีการเขียนเรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือกาสิโนเอาไว้เลย
โดยมีเพียงนโยบายที่ 54 คือ นโยบายเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว 3 ล้านล้านบาทต่อปี ที่ระบุไว้ว่า เป็นการพัฒนาและสร้างโอกาสจากแหล่งการท่องเที่ยว ทั้งจากธรรมชาติและที่สร้างขึ้นเป็นแลนด์มาร์ก แต่ไม่ได้ระบุว่า จะมีธุรกิจกาสิโนถูกกฎหมายอยู่ด้วย
ในขณะที่ นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.การคลัง ยืนกรานว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ระบุว่า ไม่ต้องทำประชามติ เพราะกฎหมายดังกล่าวได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์ ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแล้ว
แต่อย่างไรก็ดี ภายหลังมีการโต้แย้งรัฐบาลว่า เรื่องกาสิโนถือเป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องใหม่ที่มีผลกระทบในวงกว้าง ‘ประชาพิจารณ์’ อาจไม่เพียงพอต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในเรื่องนี้เท่ากับ ‘ประชามติ’
ไม่เพียงเรื่องดังกล่าว สิ่งที่หลายฝ่ายกำลังไม่สบายใจคือ เจตนาที่แท้จริงของการผลักดันเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
บางฝ่ายมองว่า รัฐบาลพยายามผลักดันแบบรีบเร่ง และผิดปกติ ทั้งที่ไม่ได้เป็นนโยบายเร่งด่วน ท่ามกลางกระแสข่าวลือมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการไปตกลง หรือดีลกันก่อนเรื่องผลประโยชน์
ไม่เพียงเท่านั้น หลายเรื่องชักจะมีกลิ่นแปลกๆ อย่างเช่น สัดส่วนกาสิโน ที่นายจุลพันธ์ระบุว่า จะไม่มีการเขียนบังคับเอาไว้ว่า จะมีกี่ % ของพื้นที่ โดยอ้างว่าเพราะไม่รู้สถานการณ์ของสังคมในอนาคต
“เราไม่รู้ว่าสถานการณ์สังคมในอนาคตนั้นจะเป็นอย่างไร ความเหมาะสมจะเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้น จะต้องให้อำนาจของ ครม.และคนที่จะมากำกับดูแลในอนาคต มีโอกาสในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจได้ในระดับหนึ่ง เราคงไม่เขียนกฎหมายหรือไปบังคับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะจะเป็นการจำกัดความคิดสร้างสรรค์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นอีกสาเหตุที่เราไม่ได้เขียนในรายละเอียดแนบท้าย ว่ากิจกรรมมีอะไรบ้าง”
ทั้งที่ก่อนหน้านี้คนในรัฐบาลที่เกี่ยวข้องแทบทุกคน ต่างออกมายืนยันเพื่อลดความไม่สบายใจของสังคมว่า สัดส่วนกาสิโนในเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์มีไม่ถึง 10% แต่ตอนนี้กลับมาไม่ระบุ
ตรงนี้เป็นอีกประเด็นที่อาจจะยิ่งสร้างความไม่ไว้วางใจต่อสังคมให้มากขึ้นไปอีก
ขณะที่ความคืบหน้าปัจจุบัน กฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจสอบ ปรับปรุงแก้ไข หลังรอบแรกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยให้ความเห็นและข้อสังเกตไปหลายประการ ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปเมื่อไม่นานมานี้
โดยหลัง ครม.เห็นชอบ ได้มีการส่งมาให้คณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยดู จนมีการตั้ง ‘คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะพิเศษ’ ขึ้นมา เพื่อดูเรื่องนี้โดยเฉพาะ มีการประชุมกันสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และได้มีการเชิญกระทรวงการคลังไปอธิบายหลักการและแนวคิดมาแล้ว 1 รอบ
สิ่งที่กระทรวงการคลังพยายามบอกกับคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษคือ แนวคิดในการทำเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นมิติของเศรษฐกิจ
แต่กระนั้นดูเหมือนรัฐบาลจะไม่วางใจ และกลัวสะดุดในชั้นนี้ จึงได้มีการเสนอไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะพิเศษว่า ขอให้ 2 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ และ นายฉัตริน จันทร์หอม ที่ทำเรื่องนี้ เข้าไปร่วมประชุมด้วยทุกครั้ง เพื่อคอยอธิบายให้ฟัง
โดยต้องดูรอว่า เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว จะมีการปรับปรุง แก้ไข และจุดบกพร่องมากน้อยเพียงใด เพราะถ้าเทียบกับร่างแรกแล้วที่คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยให้ข้อสังเกตไว้ ช่องโหว่ค่อนข้างเยอะ
ซึ่งถ้าจับปฏิกิริยาสังคมต่อเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นับตั้งแต่กลายเป็นประเด็นมา แนวโน้มหนักไปทาง ‘คัดค้าน’ มากกว่า ‘สนับสนุน’
ล่าสุดที่ จ.เชียงใหม่ กลุ่มคนเชียงใหม่ไม่เอาอบายมุข กาสิโน และบ่อนการพนัน พร้อมด้วยสมาชิกกองทัพธรรมและนักเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศกนับร้อยคน นำโดย นายใจเพชร กล้าจน หรือ "หมอเขียว" ร่วมกันเดินขบวนและชูป้ายข้อความต่อต้านคัดค้านการตั้งบ่อนกาสิโนและการพนันถูกกฎหมาย
โดยเปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวร่วมลงรายชื่อแสดงจุดยืนคัดค้าน เพื่อยื่นหนังสือคัดค้านถึงนายกรัฐมนตรีผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่
สำหรับผู้ที่สนับสนุนตอนนี้ที่กล้าออกตัวเต็มปากเต็มคำ ไม่รวมพรรคร่วมรัฐบาลที่ต้องรักษามารยาท ขณะนี้มีเพียงพรรคเพื่อไทยเท่านั้น
เมกะโปรเจกต์ ‘เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์’ บ่อนกาสิโน-พนันออนไลน์ถูกกฎหมาย ของรัฐบาล งานหินที่จะลุยฝ่าจะไปถึงฝังหรือสะดุดล้มกลางทาง?.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หาดใหญ่-สแกมเมอร์ทำรบ.'แต้มหล่น' 'อนุทิน'เปิดหน้าชนกู้เรตติ้ง
โดนล่อเป้าในจังหวะที่รัฐบาลกำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอจากกรณีมหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สำหรับการปล่อยภาพที่มีนายอนุทิน ชาญวีรกูล
'อิ๊งค์' โพสต์ภาพคู่ 'ทักษิณ' สุขสันต์วันพ่อ อดทนไว้ เราจะได้ไปเที่ยวรอบโลกด้วยกัน
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ภาพถ่ายร่วมกับนายทักษิณ ชินวัตร พร้อมระบุข้อความผ่านอินสตาแกรมว่า
จิรุตม์-มณฑลลุ้นผงาดกกต. สีน้ำเงินคุมเสียงข้างมาก7เสือ
เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองว่า “พรรคเพื่อไทย” จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลังการโหวตร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า 2569
'ภัยพิบัติการเมือง เมื่อกฎบริจาค กลายเป็นสนามแข่งพรรคใหญ่'
ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างน้ำท่วมในหลายพื้นที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกมาชี้แจงแนวทางการบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย
พลิกเกม"น้ำท่วม"สู้ศึกเลือกตั้ง สมรภูมิการเมืองช่วงชิงชัยชนะ
แรงกดดันของสังคมที่มีต่อ "อนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี หลังเหตุการณ์มหาอุทกภัยที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พุ่งเป้าไปที่ความผิดพลาด บกพร่อง และล่าช้า ในการสั่งการเข้าช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
วิกฤตน้ำท่วมทำรัฐบาลรวน อาจป่วนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ
วิกฤตในการบริหารสถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ของภาคใต้ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา นอกจากความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมหาศาลแล้ว ยิ่งทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาสาธารณชน

