ความคาดหวังของรัฐบาล และทักษิณ ชินวัตร ในการเดินหน้าสร้างสันติภาพในเมียนมา และการสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นงานใหญ่ เขาตั้งเป้าไว้ว่า ต้องทำให้สำเร็จ
ในส่วนของสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทักษิณต้องการทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ เพราะจุดเริ่มต้นในภาพจำของคนทั่วไปคือ นโยบายในยุคของเขาคือจุดเปลี่ยนในการเติมเชื้อไฟใต้ให้ปะทุขึ้นอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยวาทะ “โจรกระจอก” จนนำไปสู่การยุบ พตท.43
จากนั้นร่วม 20 ปี ทั้งรัฐบาลพลเรือนและรัฐบาลทหารเข้ามาบริหารประเทศ มีการแก้ไขปัญหาในเรื่องดังกล่าว แต่ขาดความต่อเนื่อง ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ใหญ่ที่มี 2-3 หน่วยงานมีบทบาทหลักในการขับเคลื่อน
ได้แก่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ศูนย์อำนวยการบริหารงานจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) โดยมีคณะพูดคุยสันติสุขฯ ที่มีการแต่งตั้งหัวหน้าคณะไปตามการเปลี่ยนมือของรัฐบาล และมีการปรับไปตามฝ่ายประจำในการมองปัญหา
มีรายงานว่า รัฐบาลส่งร่างยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้กลับไปให้ สมช.ปรับแก้ในบางจุดเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงระหว่างงานในการพูดคุยสันติสุข และงานด้านการทหารในการดูแลรักษาความสงบฯ ในพื้นที่
ล่าสุด นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. ยอมรับว่า ในยุทธศาสตร์ใหม่มีหลายประเด็นที่มีการทบทวน โดยเฉพาะการนำผู้เห็นต่างกลับเข้าสู่สังคม คล้ายกับนโยบาย 66/23
“ยืนยันไม่ใช่การนิรโทษกรรม แต่จะใช้การเมืองนำการทหาร” เลขาธิการ สมช. ระบุ
คีย์เวิร์ดที่สำคัญคือ “เราตั้งใจจะทำให้เป็นระบบมากขึ้น แทนที่จะทำเฉพาะจุดหรือเฉพาะเรื่อง เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น ทั้งนี้ยังจำเป็นต้องมีการตรวจสอบกลุ่มเห็นต่าง แต่ต้องมีหลักเกณฑ์ชัดเจน”
ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่า ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาที่ได้ลงพื้นที่พูดคุยในประเด็นเหล่านี้ ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องใดบ้าง ซึ่งได้มีการประชุมร่วมกับกองทัพภาค 4 ส่วนหน้า มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงหลายระดับ ซึ่งเป็นรูปแบบที่ดี และหลังจากนี้จะต้องมีการพูดคุยกับผู้บังคับบัญชาในระดับกองพันขึ้นไป รวมไปถึงในระดับกองทัพภาค เพื่อนำแผนที่มีการปรับและทบทวนนำไปใช้ในพื้นที่เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน
“ขณะนี้อยู่ระหว่างการพูดคุยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเมื่อเสร็จสิ้นทุกขั้นตอนในการจัดทำยุทธศาสตร์แล้ว ก็จะได้นำไปสู่หน่วยงานในพื้นที่ แต่ยอมรับว่าอาจจะช้าไปบ้าง แต่เพื่อที่จะเปิดรับฟังจากทุกภาคส่วน เพื่อช่วยทำให้การทำงานในพื้นที่แม่นยำมากขึ้น” นายภูมิธรรมระบุ
น่าสนใจว่า ยุทธศาสตร์ที่กำลังทบทวนอยู่นี้มีองค์ประกอบอย่างไรบ้าง?
หากถอดรหัสจากการเดินเกมของรัฐบาล และจังหวะก้าวของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในการประสานกับ “อันวาร์ อิบบราฮิม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย คาดว่าเป็นการเดินตามโรดแมปการทำงานคู่ขนานในลักษณะที่ไม่เป็นทางการของตนเอง และ การทบทวนยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาไปพร้อมๆ กัน
ในช่วงรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกฯ ทาง “ทักษิณ” ก็เคยเดินในทางลับ เชิญตัวแทนกลุ่มความเห็นต่างระดับแกนนำ 14 คนไปคุยมาแล้วที่ประเทศมาเลเซีย ก่อนจะเกิดคณะพูดคุยสันติสุขที่มี “ภราดร พัฒนถาบุตร” เป็นหัวหน้าพูดคุยฯ มีการลงนามสามฝ่าย มีมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก กลายเป็นความเคลื่อนไหวในการดับไฟใต้ครั้งสำคัญในครั้งนั้น
แต่ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ มีการปรับกระบวนทัศน์ในการแก้ไขปัญหาใหม่ ยึดในเรื่องยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ในการแก้ไขปัญหา กองทัพเริ่มถอนกำลัง นำกำลังประจำถิ่นเข้ามาทดแทน ในขณะที่การพูดคุยสันติสุขปล่อยให้เป็นกลไกของ สมช.เป็นฝ่ายเลขาฯ คณะพูดคุยฯ งานทุกอย่างเข้าสู่ฟังก์ชันของฝ่ายประจำเป็นหลัก
รัฐบาลนี้มองว่าการเดินหน้าแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าวมีความขาดช่วง ไม่เป็นเอกภาพ ต่างคนต่างทำ กลายเป็นภาพพูดคุยกันไป ระเบิดกันไป ไม่เห็นถึงผลสัมฤทธิ์ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
แหล่งข่าวรายหนึ่งระบุว่า เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง รัฐบาลต้องการให้คนของตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางดับไฟใต้ในระยะยาว ดังนั้นการทบทวนยุทธศาสตร์ครั้งนี้ นอกจากรับฟังความเห็นของหน่วยที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลจะต้องมีส่วนสำคัญในการเข้าไปกำหนดยุทธศาสตร์ร่วมด้วย
“ทักษิณ เขาต้องการให้ทำเป็นแพ็กเกจ ระดับบนรัฐบาลไทย-มาเลเซียคุยกัน ระดับกลาง คณะพูดคุยฯ พูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง และระดับล่าง คือระดับพื้นที่ต้องมีการพูดคุย เช็ก และตรวจสอบว่าสิ่งที่สองระดับข้างบนคิด รวมถึงข้อเสนอในคณะพูดคุยฯ มันถูกต้องหรือไม่ สามส่วนต้องไปด้วยกัน”
แหล่งข่าวบอกว่า สำหรับแนวคิดเรื่อง 66/23 ที่เหมือนเป็นการนิรโทษกรรมผู้กระทำผิด เป็นแค่เค้าโครงในอดีตที่ใช้อธิบายให้เห็นภาพ ซึ่งมีความแตกต่างกับสิ่งที่กำลังจะเกิด เพราะ 66/23 เป็นเรื่องการนิรโทษกลุ่มที่เห็นต่าง มีแนวความคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่กรณีนี้ผู้ที่ถูกจับกุมดำเนินคดี หรือก่อเหตุ มีอุดมการณ์ในเรื่องการแยกรัฐ ดังนั้นวิธีการที่ใช้จึงมีรายละเอียดต่างกัน
ที่ผ่านมาเคยมีการใช้มาตรา 21 ตาม พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 2551 ในการให้ผู้หลงผิดเข้ามามอบตัว โดยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ เพื่อดูว่าการก่อเหตุนั้นเป็นการหลงผิดหรือไม่ แต่ก็มีข้อจำกัดเฉพาะในบางพื้นที่ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.เท่านั้น และเมื่อเปลี่ยนคนกำกับดูแล การเดินหน้าเรื่องนี้ก็ยุติไป
แต่แน่นอนว่า รัฐบาลมีความพยายามที่จะใช้ยุทธศาสตร์ในการกำหนดทิศทางการ “ดับไฟใต้” ให้ยุติ
ในการสร้างความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ ก็คงต้องสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นได้จริง เพราะปัจจุบันแม้จะไม่ใช่การก่อเหตุรายวันเพื่อสร้างสถานการณ์ แต่เมื่อมีการก่อเหตุก็สร้างความสูญเสียได้ในวงกว้าง เป้าหมายหลักคือเจ้าหน้าที่รัฐในจุดเปราะบาง โดยเฉพาะกำลังประจำถิ่นที่เข้าไปทดแทนทหาร การก่อเหตุความรุนแรงเพื่อตอกย้ำว่า “ขบวนการ” ยังมีศักยภาพในพื้นที่ แต่รุกหนักไปที่งานการเมือง ในการปลูกฝัง สร้างกิจกรรมช่วงต่อของเจเนอเรชัน
ส่วนการปรับกำลังทหารและบทบาทหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค 4 สน. น่าจะมีการเขย่ากันอีกรอบ ที่สำคัญอาจต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจหากรัฐจะประกาศนโยบายในการนิรโทษกรรมให้ผู้มีความเห็นต่าง เพราะเมื่อสมัยที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ จะประกาศเรื่องนี้ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการอธิบายแนวคิดให้พื้นที่ทั้งฝ่ายรัฐที่ถืออาวุธ ฝ่ายการเมือง ก่อนที่จะประกาศใช้
ที่สำคัญคือ ข้อเสนอของฝ่ายขบวนการที่จะมีต่อคณะพูดคุยฯ ต้องมีการสอบทานว่าเป็นความต้องการของคนในพื้นที่จริงหรือไม่ โดยมีทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมทำงาน
และในการลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของทักษิณในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ คงจะได้เห็นทิศทางของ สทร.ว่าจะเปิดหัวในเรื่องนี้อย่างไร
สูตรในการแก้ไขปัญหาแบบเป็นแพ็กเกจที่ทักษิณและรัฐบาลกำลังทำคู่ขนานกันไปจะประสบความสำเร็จหรือไม่ อยู่ที่ความกล้าหาญในทุบโต๊ะ เดินหน้าในสิ่งที่คิดได้หรือไม่
ที่สำคัญคือ ยุทธวิธีในการดึงทุกฝ่ายเข้ามาร่วมในเกมนี้เพื่อลดแรงเสียดทาน จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ด้วย ..ต้องติดตาม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘เท้ง’พลาดซ้ำ รีบผลัก‘ภท.’ พา‘พรรคส้ม'ผูกมัดตัวเอง
ไม่ว่าจะคิดมาดีแล้ว หรือไม่ทันระวัง การรีบประกาศว่า หากพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล พรรคประชาชนจะไปเป็นฝ่ายค้านของ ‘เท้ง’ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ถือเป็นเรื่องที่นักเลือกตั้งซึ่งมีประสบการณ์ทางการเมืองสูงไม่เลือกจะทำ
ศึกเลือกตั้งรอบใหม่ กับ 'สามก๊กฉบับชาติวิบัติ' ภาค 3
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สามก๊กฉบับชาติวิบัติ ภาค 3 (มีการปรับเปลี่ยนฝ่ายและชื่อตัวละครให้สอดคล้องสถานการณ์)
สแกน 100 ชื่อปาร์ตี้ลิสต์ 'เพื่อไทย' จับตาใช้สูตรปี66 จัดลำดับ
สแกน 100 ชื่อปาร์ตี้ลิสต์พท. แกนนำรุ่นใหญ่ ภูมิธรรม-สมศักดิ์-เสี่ยเพ้ง-สรวงศ์ ส่งลูก-หลังบ้าน-เครือญาติเข้าพรรค พวกย้ายพรรค-โยกสลับจากสอบตกเขตเพียบ จับตาอาจใช้สูตรเดิม เอาตัวเต็งรมต.ไว้ท้าย ลดแรงกระเพื่อม
ท็อปไฟว์5ข่าวดังการเมืองไทย68 ยุบสภาฯไคลแมกซ์ปิดท้ายปี
นับถอยหลังเหลือเวลาอีกแค่สัปดาห์เศษก็จะสิ้นปี 2568 เข้าสู่ปีใหม่ 2569 ที่เป็นปีมะเมีย ซึ่งตำราโหราศาสตร์บางสำนักบอกว่า จะเป็นปีม้าธาตุไฟ โดยการเมืองไทยปี 2569 เรื่องสำคัญที่สุดก็คือ การเลือกตั้ง สส.ในวันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ.2569 ที่จะนำมาสู่การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน
แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"

